Scoop พิเศษซีรี่ย์ซอมบี้น่าดู



             Scoop พิเศษซีรี่ย์ซอมบี้น่าดู....

        นอกจากหนังเกมการ์ตูนที่เราดูๆเล่นๆอ่านๆกันแล้ว วงการซอมบี้ยังแพร่กระจายไปสู่เรื่องราวของซีรี่ย์อีกด้วย ซึ่งจะว่าไปวงการซี่รี่ย์ของฝรั่งก็เพิ่งจะตื่นตัวกับการทำเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้ มาเป็นซี่รี่ย์เมื่อไม่นานมานี้เอง สืบเนื่องมาจากความดังของซีรี่ย์ the walking dead ที่สร้างกระแสความสนุกตื่นเต้น จนฝรั่งต่างตื่นตัวและสร้างซีรี่ย์ซอมบี้ขึ้นมา แต่ก็เพราะซีรี่ย์ the walking dead อีกนั่นล่ะที่ดังกลบกระแสจนยังไม่มีใครกล้าลงทุนสร้างซีรี่ย์ซอมบี้ขึ้นมาแข่งมากนัก เท่าที่หาได้ตอนนี้ก็มีแค่4เรื่องนี้เท่านั้นครับ มีเรื่องอะไรบ้างเราไปดูกันเลยครับ....


        THE WAIKING DEAD.






           THE WAIKING DEAD เป็นซีรีย์ที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนในชื่อเดียวกัน เรื่องราวกล่าวถึงริคนายตำรวจหนุ่มที่มีเพื่อนสนิทชื่อเชน ทั้งคู่กำลังพักทานอาหารเที่ยงในรถตำรวจกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งมีรายงานทางวิทยุว่า มีคนคนร้ายหนีการจับกุมของตำรวจหนีบนถนน ทั้งสองคนจึงไปที่เกิดเหตุและริคพลาดท่าถูกยิงจนต้องเข้าโรงพยาบาล เขากลายเป็นเจ้าชายนิทราจนกระทั่งวันนึงเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา และพบว่าโรงพยาบาลที่ตนอยู่นั้นกลายเป็นโรงพยาบาลร้าง ที่ด้านนอกมีแต่ศพคนตายถูกห่ออย่างดีกับซากความเสียหายของโรงพยาบาล พร้อมกับประตูบานนึงที่ปิดตายเอาไว้ เมื่อริคออกมาด้านนอกเขาก็รู้ว่าตอนนี้มนุษย์ได้กลายเป็นซอมบี้ไปเกือบหมดแล้ว ริคที่ได้สติพยายามตามหาครอบครัวที่หายไป เขาจะหาเจอไหมติดตามได้ครับ....

                        
  ประตูห้องหนึ่งในโรงพยาบาลที่ถูกปิดตาย เป็นคุณเจอคำเตือนแถมนิ้วแง้มออกมาแบบนี้จะกล้าเปิดไหม....!!!!

              เรื่องราวในช่วงแรกจะเล่าถึงริคที่พยายามเอาตัวรอดในโลกที่มีแต่ซอมบี้ และตามหาครอบครับที่หายตัวไปหลังซอมบี้ถล่มเมือง โดยในช่วงกลางจะเป็นการตัดสลับมาที่เรื่องราวภรรยาของริคและเชนที่สามารถหนีเอาตัวรอดมาได้ เขากับผู้รอดชีวิตคนอื่นหนีมาตั้งกลุ่มอยู่บนเขา เนื้อหาค่อนข้างตื่นเต้นลุ้นระทึกและชวนอ้วกแบบสุดๆ(แนะนำว่าอย่าดูตอนทานอาหาร) เรื่องราวตอนนี้ดำเนินไปถึงซีซั่นที่4แล้วและดูทีท่าจะมีซีซั่นที่5 6 7 8ไปอีกแน่ๆ เพราะกระแสเรื่องนี้ดังมากๆ 


         เรื่องราวแต่ล่ะซีซั่นจะต่อเนื่องกันแบบยาวๆ....  

          เรียงลำดับแต่ละซีซั่นที่บอกถึงความเป็นไปของซีซั่นนั้นๆว่าหมายถึงอะไร ภาคแรกเล่าถึงริคที่ตามหาครอบครัว ภาคสองพวกริคและคนอื่นๆหนีมาอยู่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในบ้านนอก ภาคสามทุกคนต้องหนีจากฟาร์มมายังคุกที่เคยเป็นที่ขังนักโทษ ส่วนภาคสี่นั้นเป็นเรื่องราวที่ริคต้องหนีตายออกมาจากคุกเพื่อหาที่อยู่ใหม่ 


  ซอมบี้ขาดครึ่งท่อนที่ริคเจอตัวแรก เธอคนนี้ดังมากถึงขนาดสร้างตอนพิเศษเรื่องราวของเธอ ก่อนจะมาเป็นซอมบี้ให้เลยทีเดียว....


            ตัวหนังทำค่อนข้างสนุกแต่ก็มีหลายช่วงที่อืดๆและน่าเบื่อกับการโต้เถียงกับเรื่องไร้สาระของคนในกลุ่ม หนังดูได้เรื่อยๆเหมือนคนเขียนบทจะรู้ว่าคนดูจะเริ่มเบื่อเขาก็จะยัดฉากตื่นเต้นๆให้เราลุ้น เสร็จแล้วก็มาอืดต่อ ซึ่งถ้าไม่นับตรงนั้นก็เป็นซีรี่ทีดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และอีกอย่างที่น่าชมคือการแต่งหน้าซอมบี้ แบบว่าเละสะใจดีมากๆ เรียกว่าใครดูตอนกินข้าวอาจมีกินไม่ลง


                               เจอแบบนี้มีอึ้งกันบ้างล่ะ....

          หนังพยายามสะท้อนมุมมองของคนที่มีต่อโลกที่ถูกซอมบี้ปกครอง ที่แม้โลกจะเปลี่ยนไปยังไง มนุษย์เราก็ยังคงเข่นฆ่ากันเองอยู่ดี ซึ่งหนังแทบทุกซีซั่นก็บอกไว้เสมอครับว่า คนด้วยกันเองนั่นล่ะน่ากลัวที่สุด....


                          ซอมบี้ในซีรี่ย์นี้.....!!!!
......................................................................................


                         ........................................................

           HOMECOMING(หนีหลุมมาเลือกตั้ง)



          HOMECOMING(หนีหลุมมาเลือกตั้ง) เป็นซีรี่ย์เรื่องสั้นจบในตอนของซีรี่ชุด MASTERS OF HORROR เป็นเรื่องราวของเหล่าทหารที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาจากหลุม สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นข่าวใหญ่สร้างความตกใจให้ทุกคน แต่สิ่งที่เหล่าทหารซอมบี้ต้องการเมื่อลุกขึ้นมาจากหลุ่มคือมาเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา พร้อมกับ1คำถามที่เขาจะถามท่านประธานาธิบดีว่า "เมิงส่งพวกกรูไปตายทำไม!!!!" (เล่าตอนจบซะงั้นฮา)


                          มีแบบนี้ด้วย....!!!!!

          ตัวหนังนั้นต้องการเสียดสีเรื่องราวของสงคราม ที่ส่งคนไปรบและสิ่งที่ญาติๆได้กลับมาคือศพของคนที่เขารัก ซึ่งตัวหนังก็บอกเล่าเรื่องราวได้ดีในระดับหนึ่ง....


                                    ศพนี้เพิ่งตายแหงๆ...

              เรื่องราวไม่มีอะไรมากนอกจากที่บอกไป ใครสนใจก็ลองไปหาดูได้ครับว่าสนุกแค่ไหน....

                               ..............................................

            IN THE FLESH.



             IN THE FLESH เป็นเรื่องราวของ คีเรน วอล์คเกอร์ ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นซอมบี้เหมือนคนอื่น ที่เกิดจากโรคระบาดปริศนา แต่โชคดีที่เขาและซอมบี้อีกหลายตัวได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ และได้กลับมาหาครอบครัวที่เขารักรวมถึงคีเรนด้วย แต่ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นคือการยอมรับของสัมคม ที่ยังมีคนที่หวาดกลัวซอมบี้และไม่ไว้ใจที่จะให้คนที่เคยเป็นซอมบี้ มาอยู่ร่วมสังคมด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามได้ครับ....


                                   เหล่าซอมบี้ที่ได้รับการรักษา

           เนื้อเรื่องของซีรี่ย์นี้ค่อนข้างแปลกไปกว่าหนังซอมบี้เรื่องอื่น ตรงที่เรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวที่ผ่านมา หลังจากซอมบี้ถล่มเมืองไปแล้ว และเล่าผ่านคีเรนเด็กหนุ่มที่เคยเป็นซอมบี้ ว่าเขาต้องเจออะไรมาบ้างตอนที่เป็นซอมบี้ จนกระทั่งได้รับการรักษาในสถานบำบัดรวมกับซอมบี้ตัวอื่นๆ และเข้าสู่สังคมที่มีทั้งคนที่ยอมรับและไม่ยอมรับการกลับมาของพวกเขา หนังค่อนข้างเสียดสีสังคมพอสมควร ใครคาดหวังจะเจอซอมบี้โหดๆดุๆบู๊ๆข้ามเรื่องนี้ไปได้เลยครับ เพราะเรื่องนี้เน้นดร่าม่าล้วนๆ....


       ความเปลี่ยนแปลงของคีเรนตั้งแต่เป็นซอมบี้จนรักษาหาย

           โดยส่วนตัวคิดว่ามันไม่ค่อยแจ๋วเท่าไหร่ถ้าจะเอาเรื่องราวซอมบี้มารวมกับความดร่าม่าชีวิตแบบนี้ แต่หนังก็เล่ามุมมองอีกมุมนึงที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากหนังซอมบี้เรื่องไหนมาก่อน...

                        ..........................................

          ZOMBIE LAND THE SERIES.



              ZOMBIE LAND THE SERIES เป็นซีรี่ย์ภาคต่อจากหนังในชื่อเดียวกัน เรื่องราวในหนังZOMBIE LAND นั้นเล่าถึงคน4คนที่ออกเดินทางไปบนโลกที่มีแต่ซอมบี้ คนแรกหนุ่มเนิร์สที่ไม่เคยแอ้มสาวมาก่อน คนที่สองชายหุ่นล่ำนักฆ่าซอมบี้มือฉมังผู้ตามหาขนมในตำนานทวิงกี้(ขนามปังชนิดหนึ่ง) คนที่สามเป็นสาวสวยจอมหลอกลวงที่มีเป้าหมายคือพาน้องสาวไปสวนสนุกโดยไม่สนใจว่าโลกนี้จะมีแต่ซอมบี้รึไม่ คนที่สี่เด็กน้อยน่ารักที่มีความฝันฝังใจกับสวนสนุกที่เคยไปสมัยเด็กจึงออกเดินทางกับพี่สาวเพื่อไปที่นั่น 


                 ZOMBIE LAND ฉบับหนังควรดูเรื่องนี้ก่อนดูซีรี่ย์

          ส่วน ZOMBIE LAND THE SERIES เป็นเรื่องราวต่อจากนั้น หลังจากที่ทั้งสี่หนีออกมาจากสวนสนุกได้ พวกเขาก็ออกเดินทางไปเรื่องๆเพื่อหาผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่ และเล่าประวัติย้อนกลับไป(ส่วนที่ไม่ได้เล่าในหนัง)ให้คนรู้จักตัวละครเหล่านี้มากขึ้น


 ซ้ายเป็นภาคหนัง ขวาเป็นภาคซีรี่ย์เรื่องเดียวกันแต่เปลี่ยนคนแสดง

             ตัวหนังนั้นเป็นแนวตลกโหดฮาหึๆของเหล่าตัวละครทั้งสี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซี่รี่ย์เล่าเรื่องต่อจากหนังดังนั้นควรไปดูตัวหนังมาก่อนจะดูเรื่องราวนี้สนุกมากขึ้น


                        
            ตัวหนังแค่เล่าเรื่องราวการเอาตัวรอดไปเรื่อยๆของคนทั้งสี่ ต่างกับซีรี่ย์ THE WAIKING DEAD ที่ดูจริงจังและโหดกว่าเรื่องนี้ที่ดูตลกร้ายเสียดสีสังคม ซึ่งไม่ค่อยจะมีมากนักกับหนังซอมบี้แนวตลก ใครอยากหาความแปลกใหม่ก็ดูได้ครับ...


                                      ภาพซอมบี้จากหนัง(ไม่ใช่ในซีรี่ย์)

โดยรวมตัวซอมบี้ทำได้ไม่ค่อยดีครับ อาศัยแต่งหน้าทาแป้งทางเลือดเท่านั้น ต่างกับซีรี่ย์  THE WAIKING DEAD ที่แต่ล่ะตัวทำได้ถึงใจ แต่เพราะหนังไม่เน้นเรื่องราวตรงนั้น (เรื่องนี้ขายตัวละคร) ซอมบี้จึงดูไม่ค่อยเยอะเหมือน THE WAIKING DEAD (เรื่องนั้นขายทั้งซอมบี้ทั้งตัวละคร) ใครหาหนังซอมบี้สนุกๆก็ดูได้ครับ....

                  ...............................................................

               ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับซีรี่ย์ซอมบี้น่าดู คราวหน้าจะมีเรื่องราวอะไรอีกติดตามันได้นะครับ และถ้าใครอยากติชมบล๊อกก็เขียนทักทายมาได้ครับที่เฟสบุ๊ค แมวน้อยขี้แย ได้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ....












ตอนที่12. ปลายทาง



              ตอนที่12.ปลายทาง

             21.44นาที
              

             "นาวาหนึ่งเรียกศูนย์ ทราบแล้วเปลี่ยน!!" เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นที่ห้องทำงานของศูนย์กู้ภัยทางทะเล

              "ศูนย์ทราบแล้ว ว่ามาเลยนาวาหนึ่ง คุณไปลาดตระเวนแถวไหนคะ ทำไมเราไม่ได้รับสัญญาณของคุณเลย" หญิงสาวผมยาวมัดเป็นหางม้ารีบเดินมารับวิทยุที่วางอยู่บนโต๊ะที่ทำงาน

              "เจน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมเจออะไร คุณต้องมาดูด้วยตาตัวเองนะ" เสียงชายหนุ่มจากวิทยุที่ตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่กำลังพูดออกมา

             "ดอม ฟังจากน้ำเสียงคุณก็พอจะเดาออกว่ามันคืออะไร" หญิงสาวพูดยิ้มๆกับวิทยุ

             "ให้คุณเดาซักร้อยครั้งก็เดาไม่ออก ไม่เชื่อถามไมค์ดูได้ ใช่ไหมเพื่อน" เสียงชายหนุ่มในวิทยุพูดกับชายอีกคน

              "เจนนี่ผมเองไมค์ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าเราเจออะไร ผมบอกได้คำเดียวว่ามันใหญ่มากๆ" เสียงชายอีกคนดังขึ้นมา

              "โอเค โอเค ฉันยอมแพ้ คุณกับดอมเจออะไรคะไมค์" หญิงสาวยิ้ม

              "เราเจอเรือสำราญขนาดบิ๊กไซด์กำลังลอยลำอยู่กลางทะเล" ชายหนุ่มที่ชื่อไมค์ตอบกลับมา

              "เรือสำราญ!!!! ไม่น่าเป็นไปได้???" เจนประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน "น่านน้ำแถวนั้นไม่น่าจะมีเรือสำราญแล่นผ่านมาได้ มันเป็นเขตน้ำตื้นอันตรายมากๆถ้าแล่นผ่าน!!!"

              "เชื่อเถอะผมเองก็ประหลาดใจไม่แพ้คุณที่รัก" ไมค์ตอบกลับมา

             "ดูชื่อเรือให้ด้วยนะคะ ฉันจะตรวจสอบทางอินเตอร์เน็ตให้เองว่าเป็นเรือของใคร" เจนมาที่คอมพิวเตอร์เมื่อพูดจบ

            "ขับไปที่หัวเรือทีซิดอม!!!" ไมค์ตะโกนบอกดอมผ่านทางวิทยุที่เจนได้ยิน

            "เอ่อเจน...ชื่อเรือเปกาซัสคราย ถ้าผมอ่านไม่ผิดนะ" ไมค์พูดผ่านวิทยุ

            เจนรีบหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทันที "ไมค์คุณแน่ใจนะว่าอ่านชื่อถูก เพราะฉันไม่เจอรายชื่อเรือที่ว่านี่เลย" เจนวิทยุตอบไป

           "ถึงผมจะไม่เก่งภาษาแต่ชื่อง่ายๆแบบนี้ให้ดอมมาอ่านยังอ่านออกเลย" ไมค์วิทยุตอบ

           "แต่ไม่มีนะคะ ฉันพยายามหารายชื่อเรือสำราญที่จดทะเบียนเพื่อเทียบท่าในไทยแล้ว แต่ไม่มีรายชื่อเรือลำนี้เลย" เจนเริ่มสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น 
"รอบๆเรือเป็นยังไงบ้าง มีคนบ้างไหมคะ" เจนวิทยุถาม


         "เท่าที่ขับวนดูก็ยังไม่เห็นใครเลยแต่ไฟยังติดอยู่ ไมค์ลองเรียกดูหน่อยเพื่อว่าจะมีคนตอบกลับมา" ดอมตะโกนบอกไมค์


         "โอเค" ไมค์ตะโกนตอบกลับมา เสียงนั้นได้ยินผ่านทางวิทยุที่เจนใช้คุยในห้องทำงาน

         "ไปกันแค่สองคนจะไหวรึเปล่า ให้เราส่งคนไปสนับสนุนด้วยดีไหม" เจนวิทยุกลับไป

          "ไม่เป็นไร ผมกับไมค์แค่สองคนก็เอาอยู่" ดอมที่เป็นคนขับเรือวิทยุพูดกับเจน

          "ผู้โดยสารเรือเปกาซัสครายทราบแล้วเปลี่ยน!!! เราหน่วยกู้ภัยทางทะเลที่1 ถ้าได้ยินแล้วก็บอกเราด้วย!!!" ไมค์ตะโกนผ่านโทรโข่งในเรือ

          "ไม่มีใครตอบกลับมาเลย เดี๋ยวผมจะขึ้นไปสำรวจบนเรือซะหน่อยแล้วกัน มีอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบทันทีเปลี่ยน" ดอมบอกกับเจน

          "ระวังตัวด้วยนะคะ!!" เจนบอกกับดอม ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองคนติดต่อกลับมา ก่อนจะขาดการติดต่อไปโดยที่ไม่สามารถติดต่อทั้งสองได้อีกเลย

          สามชั่วโมงผ่านไป....

         "ศูนย์เรียกนาวา1เปลี่ยน ตอบด้วยเปลี่ยน!!!" เจนยังคงวิทยุเรียกดอมแต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา หญิงสาวรู้สึกเป็นห่วงทั้งสองคนเป็นอย่างมาก

           "มันนานเกินไปแล้วนะครับหัวหน้า นี่มันตั้งสามชั่วโมงไปแล้วที่ทั้งสองคนขาดการติดต่อ" ชายร่างบึ้กหนึ่งในหน่วยกู้ภัยที่อยู่กับเจนในห้องทำงาน พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน

           "เราควรออกไปค้นหาเขานะครับ ไม่แน่ทั้งคู่อาจจะกำลังเดือดร้อนอยู่" ชายสวมแว่นเพื่อนร่วมงานอีกคนของเจนพูดเสริม

           "อีกอย่างเรือลำนั้นก็ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจเท่าไหร่เลยคะหัวหน้า เท่าที่ตรวจสอบดูก็ไม่พบว่ามีเรือลำนี้อยู่ในระบบจดทะเบียนที่ไหนเลย ทั้งที่เรือใหญ่ขนาดนั้นไม่น่าจะรอดพ้นหูพ้นตาใครไปได้ง่ายๆ" เจนบอกกับหัวหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

           "หรือเป็นไปได้ว่ามีคนจงใจปิดบัง" ชายสวมแว่นพูดขึ้นมาอย่างน่าคิด

            "ที่พวกคุณสามคนพูดมามีเหตุผล เอาเป็นว่าผมอนุญาติให้พวกคุณไปสำรวจเรือลำนั้นได้ เอาอาวุทไปด้วยเท่าที่จำเป็น และมีอะไรก็รีบรายงานมาที่ผมทันที เข้าใจไหม!!" ชายแก่หัวหน้าหน่วยกู้ภัยบอกกับลูกน้องของตน

            "ค่ะ/ครับ" ทั้งสามรับคำพร้อมกัน

            เรือหน่วยกู้ภัยนาวา2ที่แล่นออกจากท่า ประกอบไปด้วยเจนหญิงสาวเพียงคนเดียวในหน่วย เธออยู่หน่วยพยาบาล ชายร่างบึกชื่อโก๊ะอยู่หน่วยกู้ชีพ ชายสวมแว่นชื่อชายอยู่หน่วยสื่อสารนักท่องเที่ยว และชายแก่ชื่อลุงทิ้งเป็นคนขับเรือ ทั้งหมดขับเรือออกจากท่าเพื่อไปเป็นหน่วยสนับสนุนเรือนาวา1ที่ขาดการติดต่อไป

           ระหว่างที่เรือกำลังแล่นไป ใจของเจนนั้นกลับรู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก เพราะความเป็นห่วงดอมแฟนหนุ่มของเธอ 

          "ได้ข่าวว่าหมอนั่นขอเธอแต่งงาน" ชายเดินมาคุยกับเจนที่ท้ายเรือ

          "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน แค่เรื่องตลกๆที่อำกันเล่นๆเท่านั้นเอง" เจนหันมายิ้มให้ชายสวมแว่น

          "งั้นหรอ.... หมอนั่นต้องไม่เป็นอะไรเชื่อผมเถอะ" ชายปลอมใจเจน

          "ขอบคุณคะ" เจนยิ้มตอบ 

           เรือนาวา2แล่นมาถึงเรือสำราญขนาดใหญ่กลางทะเล ขนาดของเรื่องนั้นเทียบเท่ากับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ลำนึงเลยที เดียว 
ทุกคนในทีมต่างพากันยืนอึ้งอ้างปากค้างกับขนาดความใหญ่ของเรือสำราญลำนี้

            "ไม่มีเรือ!!!" เจนคิ้วขมวดเธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เมื่อวนรอบๆเรือสำราญหลายรอบแต่ก็ไม่พบเรือของนาวา1เลย

            "เป็นไปไม่ได้!!??? ทำไมไม่มีเรือ???" โก๊ะชายร่างบึกเกาหัวด้วยความสงสัย

            "อาจจะเกิดเหตุอะไรก็ได้ ตอนนี้ที่เราทำได้คือขึ้นไปสำรวจบนเรือ ไม่แน่พวกเขาอาจจะอยู่บนนั้นก็ได้" ชายหนุ่มสวมแว่นพูดกับเจน

            "ชายพูดถูก เราไปดูกันเถอะ" โก๊ะบอกกับเจน

            ทั้งหมดยกเว้นลุงทิ้งที่เป็นคนขับเรือ รอประจำการอยู่ที่เรือเพียงคนเดียว 
นอกนั้นก็ใช้ปืนยิงตะขอเกี่ยวขึ้นไปบนเรืออย่างชำนาญ เพราะด้วยหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยทางทะเล คือการตรวจสอบปกป้องคุ้มกันภัยทางทะเล การปีนป่ายขับเรือว่ายน้ำจึงเป็นเรือปกติที่พวกต้องฝึก รวมถึงการใช้อาวุทที่มีน้อยครั้งมากที่จะต้องมีอาวุทมาร่วมในการตรวจสอบ ซึ่งนาวา1ที่หายตัวไปนั้นทั้งไมค์และดอมไม่ได้พกอาวุทติดตัวเลย จึงทำให้เจนรู้สึกเป็นห่วงทั้งสองเป็นอย่างมาก

             "พร้อมแล้วนับสามนะ" เจนมองตาเพื่อนทั้งสองคนระหว่างห้อยอยู่ที่ท้ายเรือสำราญขนาดใหญ่

             "สาม!!!" ทั้งหมดกระโดดขึ้นเรือทันทีพร้อมกับชักปืนเตรียมพร้อม

             สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างเป็นใจ เมื่อทั้งสามคนขึ้นมายังท้ายเรือเปกาซัสคราย ที่เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่เอาไว้สังสรรค์ของนักท่องเที่ยว มีสระว่ายน้ำสีฟ้าสุดหรูขนาดใหญ่อยู่กลางลาน ด้านข้างสระน้ำมีเตียงนอนชายหาดมีโต๊ะมีอาหารและเครื่องดื่มวางทิ้งเอาไว้โดยที่ยังทานไม่เสร็จ

              "ไม่มีคนเลยน่าแปลกนะว่าไหม" ชายพูดขึ้นมาระหว่างเดินสำรวจที่โต๊ะอาหารท่ามกลางสายฝน "ไฟฟ้ายังคงทำงาน"

              "อาหารยังใหม่ไม่บูด" โก๊ะชายร่างบึกหยิบอาหารมดมก่อนจะบอกกับคนทั้งสอง

               "หน้าที่ของเราคือสำรวจเรือลำนี้และตามหาดอมกับไมค์ แยกกันไปตรวจสอบแล้วกัน ชายคุณไปสำรวจห้องคนขับดูซิว่าที่นั่นยังมีคนไหม โก๊ะคุณกับฉันไปที่ห้องโถงกลางถ้ามีคนอยู่ที่นั่นจะเป็นที่ๆมีคนเยอะที่สุด" เจนบอกกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน

               "ทางคุณเป็นอย่างไรบ้างเจนเปลี่ยน" เสียงชายแก่หัวหน้าของเจนวิทยุเธอที่ศูนย์บนฝั่ง

               "เรามาถึงเรือแล้วคะแต่ไม่พบเรือนาวา1เลย เราเลยขึ้นมาบนเรือสำราญ ตอนนี้กำลังส่งแว่นไปตรวจที่ห้องควบคุมเรือ ส่วนฉันกับโก๊ะจะไปสำรวจห้องโถงคะ" เจนรายงานหัวหน้า

               "ดี ระวังตัวด้วย มีอะไรรายงานผมเป็นระยะ" ชายแก่บอกกับเจน

                "ค่ะทราบแล้ว" เจนเอามือออกจากปุ่มวิทยุที่หูระหว่างเดินสำรวจ เธอเอาหมวกที่นำมาด้วยมาสวมบนหัวระหว่างเดิน ขณะที่โก๊ะชายร่างบึกยังคงเดินด้วยท่าทางสบายๆกับปืนลูกซองหกนัดในมือ

                 "ไม่คิดเลยนะว่าเธอกับดอมจะแต่งงานกัน บอกตามตรงฉันตกใจมากๆเลย" โก๊ะพูดยิ้มๆระหว่างเดินสำรวจเรือ

                 "โอ๊ย...ไร้สาระน่า อย่าไปเชื่อสิ่งที่ดอมพูดเลย" เจนพูดยิ้มๆด้วยน้ำเสียงนิ่งๆระหว่างเดินในสายฝน เธอไม่มีอารมณ์ล้อเล่นแม้แต่น้อย

                "ฉันรู้ว่าเธอเป็นกังวลเรื่องดอม แต่เชื่อซิหมอนั่นต้องปลอดภัย" ชายร่างบึกพูดกับเจนขณะที่เธอใช้หางตามองมาทางชายร่างบึก

                "ขอบใจ"เจนฝืนยิ้ม "ตอนนี้ฉันอยากจะทำอะไรที่สุดรู้ไหม ฉันอยากจะต่อยหน้าดอมกับไมค์จังๆสักหมัด ข้อหาทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง"


                "นั่นซิ" โก๊ะพูดยิ้มๆ "ไม่ใช่ป่านี้สองคนนั่นกำลังนั่งดื่มวีสกี้จีบสาวๆในห้องโถงของเรืออยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคนนึงล่ะที่จะตืบมันทั้งคู่ติดดินเอง" ทั้งสองคนยิ้มให้กันระหว่างเดินท่ามกลางสายฝน

                "เจน!!!" ชายร่างบึกพูดไม่ทันจบเขาก็เรียกเจนให้ดูอะไรบางอย่างตรงหน้า 

                "ดูนั่นซิ...!!!" โก๊ะเรียกเจนเมื่อเขาเห็นหญิงสาวในชุดบีกินนี่ทูพีชสีแดง กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะท่ามกลางสายฝนที่ด้านข้างของเรือ ดูเหมือนเธอกำลังนั่งกินอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น

                  "คุณคะ!!!..คุณ!!" เจนตะโกนเรียกหญิงสาวท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น

                  "คนบ้าอะไรมาใส่ชุดว่ายน้ำมานั่งตากฝนคนเดียวแบบนี้" ชายร่างบึกพูดกับเจนระหว่างเดินไปหาหญิงสาวคนนั้น

                 "คุณคะ" เจนจับไหล่หญิงสาวเพื่อสะกิดเธอให้หันมา 


                "!!!!?????" เจนกับโก๊ะสะดุ้งสุดตัวเมื่อหญิงสาวในชุดทูพีชหันมา

              "เจนออกมาก่อน!!!" โก๊ะดึงเจนที่ไหล่เพื่อให้ถอยหลังออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวในชุดทูพีชที่หันมานั้นหายไปครึ่งซีก เห็นแต่ใบหน้าที่เละไร้เค้าโครงของมนุษย์อยู่แล้ว ขณะที่บนตักของหญิงสาวก็มีหัวของชายคนนึงที่ทั้งสองคนรู้จักดีแต่มีสภาพถูกกัดกินจะเละไปหลายส่วน ซึ่งนั่นก็คือหัวของไมค์นั่นเอง

                 "นั่นไมค์!!!" เจนตะโกนออกมาด้วยท่าทางตกใจสุดขีด

                 "ก๊ากกก!!! ก๊ากกก!!!  ก๊ากกกก!!" หญิงสาวหน้าเละในชุดทูพีชร้องตะโกนสุดเสียง เธอรีบลุกขึ้นทิ้งหัวของไมค์ลงที่พื้น และวิ่งเข้าหาโก๊ะชายร่างบึกทันที

                 "นังบ้า...!!!" ชายร่างบึกยิงปืนลูกซองใส่หญิงสาวในชุดทูพีชจนเธอล้มลง แต่ไม่นานเธอก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งทั้งที่มีรูกระสุนและเลือดไหลออกมาจากท้อง 


                 "อะไรกันว่ะเนี้ย...!!!! ?" โก๊ะอุทานออกมาด้วยความตกใจ

                "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกก!!!" หญิงสาวหน้าเละในชุดทูพีชวิ่งมาอีกครั้ง แต่หนนี้เจนตั้งสติและยิงที่หัวของผีดิบตัวนั้นจนมันล้มลงตายคาที่

              "ดีนะที่เคยดูหนังซอมบี้" เจนเดินมาดูศพหญิงสาวว่าตายสนิทรึยัง ขณะที่ชายหนุ่มเดินมาดูหัวเพื่อนร่วมงานของตนที่ถูกทิ้งบนพื้น

               "พระเจ้านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี้ย!!!" ชายร่างบึกอุทานออกมาดังๆด้วยความโมโห


                "ดอม!!!" เมื่อเห็นศพของไมค์ก็ยิ่งทำให้เจนเป็นห่วงดอมมากขึ้นไปอีก


                 "ศูนย์ทราบแล้วเปลี่ยน ศูนย์...!!!" เจนพยายามติดต่อกับทางฝั่งเพื่อรายงานสิ่งที่เจอ แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย

                  "ติดต่อใครไม่ได้เลย!!!" เจนบอกกับโก๊ะ

                   "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!! ใครเป็นคนทำว่ะ!!!" โก๊ะตะโกนออกมาด้วยความโมโห

                  "ปัง!! ปัง!! ปัง!!!" จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาหลายนัดด้านในเรือ ทั้งสองคนจึงรีบวิ่งตามเข้าไปทันที

                  ทั้งสองรีบเข้ามาด้านในเรือตามเสียงปืนที่ได้ยิน ด้านในของเรือเมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็เป็นห้องจัดเลี้ยงสุดหรูที่มีบันไดสามแพร่งปูด้วยพรมแดงอยู่ตรงหน้า ด้านบนมีโคมไฟระย้าคริสตัลแขวนอยู่กับโต๊ะจัดเลี้ยงที่มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ แต่หลายโต๊ะก็ล้มระเนระนาดและมีซากศพนอนกองตามพื้นหลายศพเหมือนที่นี่เพิ่ง เกิดฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นมา

                     "อุ๊บ..!!!เหม็นชิบ!!"  โก๊ะอุทานออกมาเมื่อได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพและคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงแห่งความตายนี้

                     "ศพพวกนี้คงตายมานานหลายชั่วโมงแล้ว" เจนสำรวจศพโดยไม่สนใจกลิ่นเหม็น "ดูซิสภาพศพเหมือนถูกกัดด้วยฟัน ไม่ใช่ร่องรอยของการถูกยิงหรือแทงด้วยของมีคม"


                     "ที่นี่มันนรกชัดๆ" ชายร่างบึกอุทานออกมา "อย่าบอกนะว่าคนบนเรือกลายเป็นแบบผู้หญิงคนนั้น!!??" 

                     และตอนนั้นเองก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งนึง ที่ด้านในของอาคารทางทิศตะวันตกของเรือ ทั้งสองจึงรีบตามเสียงปืนไปทันทีอย่างไม่รอช้า

                    ระหว่างทางที่ทั้งสองคนวิ่งเข้าไปด้านในของเรือ ก็พบซากศพของคนมีเงินในชุดสุดหรูทั้งชายหญิง นอนตายจมกองเลือดไส้ทะลักหัวขาดแขนหายเต็มพื้นระหว่างทางเดิน สร้างความสะเทือนใจให้โก๊ะเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่กับเจนเพราะเธอในตอนนี้ห่วงความเป็นความตายของดอมแฟนหนุ่มของเธอมากกว่า

               ทั้งสองคนวิ่งมาถึงด้านในของห้องโถงปีกตะวันตก เธอก็พบกับหญิงสาวคนนึงในชุดกระโปรงสีชมพูสวมส้นสูง กำลังถือปืนวิ่งมาทางทั้งสองพอดี

               "กรี๊ดดดด!!!" หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นทั้งสองคนที่ทางเดิน เธอเล็งปืนมาทางเจนและโก๊ะด้วยความตกใจ

               "หยุดก่อน!!! เราเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยทางทะเล เรือของคุณส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเรา!!!" เจนบอกกับหญิงสาวที่กำลังตกใจจนเธอได้สติ

                "เราต้องหนีไปจากที่นี่!!! ที่นี่มีแต่พวกผีดิบไล่กินคน!!!"  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าตกใจกลัวสุดขีด เนื้อตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือดตามตัว เหมือนเธอต้องหนีตายจากอะไรบางอย่างมาอย่างยากลำบาก


                "เรายังไปไม่ได้ เราต้องหาสาเหตุว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น และต้องตามหาเพื่อนร่วมทีมเราอีกคนที่หายตัวไปจากเรือนี้" เจนบอกกับหญิงสาวที่กำลังตกใจ

                "ไม่มีใครรอดจากเรือลำนี้หรอกเชื่อฉันซิ!!!" หญิงสาวพูดเสียงดังด้วยอาการช๊อคที่ยังมีอยู่ "ฉันเห็นมากับตา จู่ๆทุกคนก็กลายเป็นบ้าแล้วก็ไล่กินกันเองบนเรือ

                ย้อนภาพกลับไปภายในงานเลี้ยงสุดหรู ตรงห้องโถงที่เพิ่งผ่านมา ภายในห้องจัดเลี้ยงที่มีคนรวยแต่งตัวหรูหราสวยงามเดินไปมา มีเพลงบรรเลงเบาๆบนเวทีกับอาหารสุดหรูพร้อมบริการ จนกระทั่งจู่ๆก็มีใครคนนึงในห้องนั้นเกิดติดเชื้อ ชายคนนั้นตรงเข้าไปกัดหญิงสาวชุดสีฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ ขณะที่หญิงสาวชุดเกาะอกสีชมพูอีกคนตรงมุมนึงของห้องก็มีอาการคลั่งเหมือนกัน และแขกภายในงานก็เริ่มเป็นบ้าทีละคน จนกระทั่งเกิดความวุ่นวาย ผู้คนหนีตายไปคนล่ะทาง คนที่ถูกกัดก็จะติดเชื้อกลายเป็นผีดิบ ขณะที่คนอื่นๆที่หนีไม่ทันก็กลายเป็นอาหารของผีดิบในที่สุด.... 

                "คุณชื่ออะไร" โก๊ะถามหญิงสาว

                "เบล....ชื่อเบล!!!" หญิงสาวตอบ

                "เธอไปโดนอะไรมา" เจนถามเบลเมื่อเห็นมือของเธอเป็นรอยฟันเหมือนถูกกัด

               "ก๊ากกก!! ก๊ากกก!!!" ตอนนั้นเองก็มีเสียงร้องของอะไรบางอย่างดังขึ้นมาที่ด้านหลังของเบล

              "หาที่หลบเร็วเข้า!!! พวกผีดิบมาทางนี้แล้ว!!!" เบลบอกกับคนทั้งสอง 


               "โก๊ะ!!!" เจนบอกกับโก๊ะให้อุ้มเบลที่เดินแทบไม่ไหว ให้รีบตามเธอมาแอบที่ห้องพักห้องหนึ่งที่ทางเดินระหว่างอาคาร

                เจนแอบดูที่ตาแมวหน้าประตูเมื่อเข้ามาในห้องพักสำเร็จ เธอเห็นกลุ่มคนที่อยู่ในชุดสุดหรูทั้งชายหญิงที่มีสภาพเหมือนศพวิ่งผ่านประตูไปอย่างรวดเร็วหลายสิบคน

               "นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนบนเรือถึงกลายเป็นผีดิบแบบนี้ไปได้!!!" เจนเดินมาถามเบลที่นั่งอยู่บนเตียงในห้องพัก

              "ไม่รู้...ฉันไม่รู้...??? ฉันเองก็รู้เท่าพวกคุณนี่ล่ะ" เบลนั่งก้มหน้าเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเอง


              "ตั้งสติเอาไว้!!! เล่าสิ่งที่คุณรู้มาให้หมด!!!" เจนเขย่าไหล่ของเบลแรงๆเพื่อเรียกสติของเธอ

               "ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเรากำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ดีๆ จู่ๆแขกในงานหลายคนก็เกิดอาการคลั่งไล่กัดคนในงาน แล้วคนอื่นๆก็กลายเป็นผีดิบไล่กินคนบนเรือ ฉันเองก็ได้แต่หนีเอาตัวรอดจนมาเจอพวกคุณนี่ล่ะ" หญิงสาวมีอาการเหมือนคนเมาเหล้า เธอก้มหน้าพูดเบาๆช้าๆจนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนเหมือนคนหมดสติ

                "บ้าเอ๊ย...!!!" เจนอุทานออกมาดังๆเมื่อจับชีพจรของเบลและรู้ว่ามันไม่เต้นแล้ว

                "เราเอาไงต่อดีล่ะ" โก๊ะชายร่างบึกถามกับเจน

               "เราต้องตามหาดอม เขาอาจยังมีชีวิตรอดอยู่" เจนไม่ตัดใจที่จะตามหาแฟนของเธอ

                 "นี่คุณจะบ้าหรือไง..!!! ไม่เห็นรึไงว่าที่นี่เป็นนรกขนาดไหนแล้ว ต่อให้หมอนั่นรอดก็ใช่ว่าจะไม่กลายเป็นศพไปแล้ว!!!"  โก๊ะตะโกนว่าเจนแต่เธอไม่สนใจ

               "ฉันจะไป...ฉันจะไปตามหาเขา!!!" เจนยังยืนยันคำเดิม 


               ทั้งสองคนยืนเถียงกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเบลที่น่าจะตายไปแล้ว ลุกขึ้นมาจากเตียงและพุ่งตรงมาทำร้ายคนทั้งคู่ โดยที่ไม่ทันตั้งตัว

                "ระวัง...!!!" โก๊ะพลักเจนออกไปพ้นทางเมื่อเห็นเบลวิ่งมาหาเจน 


                "อ๊ากกกกก!!!" ชายร่างบึกถูกกัดที่แขนเมื่อพลักเจนออกไปพ้นทาง เขารวบรวมสติและใช้มือทั้งสองข้างบิดคอของเบล จนหัวหันมาด้านหลังล้มลงตายคาที่บนพื้น

                 "นายถูกกัด...!!!" เจนพูดกับโก๊ะด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อเห็นแผลถูกกัดที่แขนของชายร่างบึก "เราต้องรีบไปหาหมอ ฉันจะพานายไปเรือเราจะได้ไปจากที่นี่กัน" เจนพยายามพยุงตัวของโกะให้ลุกขึ้น ตอนนี้เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของโก๊ะมากกว่าแล้ว

                  "เรื่องเล็กน้อยแค่แผลถูกกัดเท่านั้นเอง ไกลหัวใจเยอะ!!!"" ชายร่างบึกพูดไปไอไป ตอนนี้เขาดูไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน

                  "เข้มแข็งแบบนี้ค่อยหายห่วงหน่อย เอาลุกขึ้นยืนเราจะได้ไปจากที่นี่กัน" เจนพยายามพยุงโก๊ะมาแบกที่ไหล่ เธอพยุงตัวช่ายที่ร่างใหญ่กว่าตนเองออกมาจากห้องพัก


                 ระหว่างทางเดินออกจากปีกตะวันตก ทั้งสองก็พบกับผีดิบตรงหน้าสองตัวยืนอยู่ 

                 "เฮ้ย!!!" เจนตะโกนเรียกผีดิบสองตัวให้หันมา ก่อนที่เธอจะยิงพวกมันกลางแซกหน้าอย่างแม่นยำ

                  "ดีกรีทีมชาติแม่นเป็นจับวาง แค่ก แค่ก" โก๊ะพูดไม่ทันจบเขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง และทรุดลงนั่งกับพื้น

                  "นายต้องไปต่อ!!! เร็วเข้าลุกขึ้น!!!!" เจนพยายามจะช่วยพยุงชายร่างบึกแต่เค้าตัวหนักเกินกว่าที่เธอจะพยุงไหว

                  "ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว แค่ก แค่ก!!!" โก๊ะไอออกมาเป็นเลือด เขาหายใจติดขัดหน้าซีดและเหงือออกเป็นจำนวนมาก

                  "คุณต้องไหวซิเร็วเข้า!!! อย่าเพิ่งหมดหวังเอาตอนนี้" เจนพูดเสียงดังเรียกสติชายหนุ่มร่างบึก แต่โก๊ะกลับเริ่มจะหมดสติลงทุกที


                  "คุณช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก" จู่ๆก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาที่ทางเดินตรงหน้าที่คนทั้งสองจะไป

                  หญิงสาวคนนี้สวมแว่นทรงสี่เหลี่ยมผมยาว สวมชุดกราวเหมือนหมอ ในมือของเธอมีปืนและกำลังเล็งมาทางคนทั้งสอง 

                   "ถูกกัดแบบนั้นคงอีกไม่นานเชื้อก็จะแพร่กระจายจนกลายเป็นพวกศพเดินได้" หญิงสาวสวมแว่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง 

                   "คุณถูกกัดรึเปล่าคุณหน่วยกู้ภัย" หญิงสาวสวมแว่นถามเจน

                  "เปล่า ฉันไม่ถูกกัด" เจนบอกกับเธอ "คุณเป็นหมอรึเปล่า คุณแอนนา เฟรย่า" เจนอ่านป้ายชื่อที่ติดบนหน้าอกของหญิงสาวสวมแว่น


                  "ใช่ ฉันเป็นหมอ" แอนนาตอบ "ตอนนี้เพื่อนของคุณคงไม่รอดแล้ว คุณควรรีบฆ่าเขาก่อนที่เขาจะเปลี่ยนร่างจะดีกว่า" หญิงสาวสวมแว่นเล็งปืนมาทางโก๊ะ
                   

                  "คุณจะบ้ารึไงเขา!!! เขาแค่ถูกกัดเท่านั้น!!" เจนพูดเสียงดังบอกกับแอนนา

                   "นั่นล่ะปัญหา คนที่ถูกกัดจะเปลี่ยนเป็นผีดิบในอีกไม่ช้า แล้วแต่ภูมิต้านทานของแต่ละคน" แอนนาบอกด้วยท่าทางสงขุมเยือกเย็น

                    "คุณ....!!!" ไม่ทันที่เจนจะพูดจบ จู่ๆโก๊ะที่นอนอยู่ก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นผีดิบจะเข้ามาทำร้ายเจนที่อยู่ใกล้ๆทันที

                    "ปัง!!!" แอนนายิงกลางแซกหน้าโก๊ะจนเขาล้มลงนอนตายคากองเลือด ท่ามกลางความตกใจของเจน

                    "บ้าเอ๊ย....!!!" เจนอุทานออกมาเสียงดังด้วยความเสียใจ

                    "คุณมากันกี่คน" แอนนาถามเจนที่กำลังเสียใจ

                    "4คนรวมคนขับเรือ" เจนพูดเสียงเศร้า เธอนั่งร้องไห้จนเดินต่อไม่ไหวแล้ว

                     "คิดว่าจะมาเยอะกว่านี้ตอนขอความช่วยเหลือออกไป" แอนนาขยับแว่นตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชาแววตาไร้ความรู้สึก

                     "คุณเป็นคนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปใช่ไหม" เจนถามแอนนา

                     "ใช่ ฉันส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเอง" แอนนาพยักหน้า
             
                     "งั้นคุณก็รู้ซินะว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ พาฉันไปที่เครื่องส่งสัญญาณ ฉันจะติดต่อไปทางหัวหน้า!!!" เจนถามด้วยน้ำเสียงสลด

                     "เราต้องหนีออกไปจากที่นี่ เรือลำนี้ไม่ปลอดภัย" แอนนาไม่ตอบคำถามของเจนเธอบ่ายเบี่ยง

                     "ตอนนี้ฉันเสียเพื่อนร่วมทีมไป2คน และอีก2คนที่ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ถ้าเธอไม่ตอบคำถามฉันมาล่ะก็ ฉันจะเจาะหน้าเธอให้เป็นรูเพิ่มขึ้นอีกฉันสามบาน!!!" เจนลุกขึ้นยืนเล็งปืนมาทางแอนนา เธอกัดฟันพูดด้วยความโมโห

                    "เราต้องหนีออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าอยากรู้คำตอบก็ตามฉันมา" แอนนาสบตากับเจนเธอพูดด้วยแววตานิ่งเฉย

                     "แต่ฉันต้องตามหาเพื่อนร่วมงานอีกสองคนในเรือลำนี้ที่หายตัวไป เราต้องตามหาพวกเขาก่อน" เจนแย้งออกมา

                    "งั้นก็ต้องไปที่นั่นก่อน ตามมาซิ" แอนนาพาเจนเดินออกจากทางเดินปีกตะวันตกไปยังห้องควบคุมกล้องวงจรปิดที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น

                    "วิทยุเครื่องส่งถูกใครบางคนทำลายไปหลังจากฉันขอความช่วยเหลือไม่นาน" แอนนาที่เดินเข้ามาในห้องที่มีจอทีวีมากมายพูดกับเจน "ฉันพยายามใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนที่นี่จะเป็นจุดอับสัญญาณ ส่วนกล้องพวกนี้มันเปล่าประโยชน์ที่จะดู ฉันเพิ่งออกมาจากห้องนี้ก่อนจะเจอคุณ" แอนนายืนกอดอกมองดูเจนที่กำลังกดคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบกล้องวีดีโอที่ห้องควบคุมเรือและตามที่ต่างๆในเรือ เพื่อตามหาเพื่อนทั้งสองคนที่อาจจะยังมีชีวิตอยู่

                    "ชายดอมพวกนายหายไปไหนกันหมด" เจนบ่นออกมาด้วยความว้าวุ่นใจ เธอกดแป้นพิมพ์ผิดๆถูกๆเพราะไม่มีสมาธิ

                    "มาฉันทำเอง คุณกำลังตามหาเรือกู้ภัยลำแรกที่มาใช่ไหม" แอนนาพูดจบเธอก็เดินมากดที่คอมพิวเตอร์ เพื่อย้อนเวลากลับไปตอนที่ไมค์กับดอมเพิ่งมาถึง

                    "!!!" เจนรู้สึกดีใจที่เห็นคนทั้งสองขึ้นมาบนเรือผ่านทางกล้องวงจรปิด โดยที่หลังจากนั้นไม่นานเรือนาวา1ที่ทั้งสองคนโดนสารมาก็เกิดระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                   "เกิดอะไรขึ้น!!!" เจนถามแอนนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

                   "ฉันไม่รู้ ส่วนนี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีนี้" แอนนาส่ายหน้า เธอกดไปที่แป้นพิมพ์อีกครั้งเพื่อฉายภาพจากกล้องวงจรปิดอีกอันในเวลาต่อมา

                   "บ้าน่า!!!!" เจนอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเธอเห็นเรือนาวา2ที่ตนโดยสารมานั้นเกิดระเบิด อย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อไม่กี่นาทีนี้

                   "ฉันเองก็พยายามหาคำตอบเหมือนคุณนั่นล่ะ จึงมาที่นี่ แต่ก็ไม่พบอะไร" แอนนายืนกอดอกพูดกับเจนด้วยสีหน้านิ่งเฉย

                   เจนที่สิ้นหวังหันปากกระบอกปืนมาทางแอนนาที่ยืนนิ่งไม่ตอบโต้อะไร "เธอเป็นใครกันแน่!!!" เจนถามแอนนาด้วยความโมโห

                   "ฉันคือปีศาจที่สร้างนรกแห่งนี้ขึ้นมา" แอนนาตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย "และฉันต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป" 

                   "เธอสร้างเชื้อบ้าพวกนี้ขึ้นมาอย่างงั้นหรือ" เจนหายใจแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเจอต้นตอของสาเหตุ

                    "จะว่าอย่างนั้นก็ถูกแค่ครึ่งเดียว ฉันไม่ใช่คนสร้างเชื้อไวรัสตัวนี้ แต่ฉันคือคนที่นำมันมาดัดแปลงเพื่อให้มันเอามาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเท่านั้น" แอนนาเดินมานั่งที่เก้าอี้ระหว่างพูดโดยไม่สนใจปืนที่เล็งมาเลยแม้แต่น้อย

                   "แล้วการทดลองก็ผิดพลาด เชื้อไวรัสรั่วไหลออกมาจนทำให้คนบนเรือกลายเป็นผีดิบ การท้าทางพระเจ้าด้วยการสร้างปีศาจ สุดท้ายปีศาจนั้นก็ย้อนมาทำร้ายผู้สร้างนั้นเอง" เจนพูดยิ้มๆด้วยความสะใจเล็กน้อย

                   "เปล่าทุกอย่างไม่ได้ผิดพลาด เรามีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดที่กักเก็บเชื้อไม่ให้รั่วไหลออกมา อย่าเอาเรื่องจริงไปรวมกับหนังซอมบี้ห่วยๆที่เคยดูมา" แอนนาพูดด่ากระแทกเจน 

                  "ใครๆก็พูดแบบนั้นเวลาพูดถึงเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็มีรูรั่วทุกราย" เจนด่ากลับ

                  "ก็อาจจะใช่ เพราะถึงเราจะมีระบบป้องกันดีแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถกันคนในที่ทรยศไปได้" แอนนาเอนหลังบนเก้าอี้พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย "มีคนในแอบมาขโมยเชื้อไวรัสจากห้องทดลอง และแพร่กระจายเชื้อในเรือเพื่อปกปิดหลักฐานสิ่งที่ตัวเองทำ และฉันก็พยายามตามหาคนทรยศนั่นอยู่" แววตาของแอนนาดูแข็งกร้าวมากขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

                  "โหดร้ายที่สุด ใครกันนะที่ทำเรื่องเลวร้ยแบบนี้ลงได้" เจนบ่นออกมาดังๆ "แล้วเราจะเอายังไงต่อไป" เจนถามแอนนา

                  "สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือหนีไปจากที่นี่เพียงอย่างเดียว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเกินจะเยียวยาที่เราจะทำ" แอนนาตอบ "ส่วนเรื่องเพื่อร่วมงานของคุณถ้ายังมีชีวิตรอดอยู่ป่านี้เราก็คงจะเห็นเขาในกล้องไปแล้ว" 

                 "งั้นเราก็ต้องทำลายเรือลำนี้ ระเบิดมันกลางทะเลจะได้ไม่มีใครมาเดือดร้อนอีก" เจนพูดกับแอนนา

                 "เธอคงดูหนังมากไปจริงๆ" แอนนาพูดประชด "ระบบระเบิดตัวเองกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แบบนี้ คุณรู้ไหมว่าต้องใช้งบประมาณขนาดไหนในการสร้าง ไหนจะระบบควบคุมมันอีก ถ้าเกิดกดพลาดนิดเดียวอาจจะทำให้ระเบิดทั้งลำก็ได้ ใครจะบ้าเอาสิ่งแบบนั้นมาใส่ในเรือ" แอนนาพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยเป็นชุดจนเจนเถียงอะไรไม่ออก

                 "จ้า จ้า หนีก็หนี" แม้เจนจะห่วงดอมแค่ไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาในเรือก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่า ดอมกับชายไม่น่าจะมีชีวิตอยู่       

                  ทั้งคู่ค่อยๆเดินผ่านโถงปีกตะวันตกออกมา ระหว่างทางทั้งสองคนพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับผีดิบที่เจอโดยการแอบตามห้อง และใช้ช่องทางระบายอากาศในการข้ามบางเส้นทางที่มีพวกผีดิบอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีแอนนาเป็นคนนำทางไปตลอดจนมาถึงห้องครัว 

                    "เธอรู้เส้นทางเรือลำดีจริงๆเลยนะ" เจนพูดเชิงประชดกับแอนนาเมื่อมาถึงห้องครัว

                    "ฉันเป็นคนออกแบบเรือลำนี้ รวมถึงประตูลับนี่ด้วย" แอนนาเดินมาที่ตู้แช่เย็นขนาดใหญ่ เธอกดหมายเลขรหัสที่หน้าประตูตู้เย็นและใช้บัตรผ่านประตูรูดที่เครื่องอ่านก่อนจะเปิดประตูตู้เย็นได้

                     เมื่อผ่านประตูเข้ามาก็พบว่าด้านในคือลิฟท์ที่พาคนทั้งสองลงไปที่ชั้นล่างของเรือ

                    "เราจะไปที่ไหน!!!???" เจนถามแอนนา

                    "ไปที่ห้องทดลองใต้ท้องเรือ ที่นั่นมีทางออกฉุกเฉินกับเรือชูชีพมันจะพาเราไปจากที่นี่" แอนนาบอกเจน                  

                  ทั้งสองคนลงลิฟท์มาถึงห้องทดลองที่อยู่ชั้นล่างสุดของเรือสำราญ ที่นี่คือห้องทดลองปลอดเชื้อขนาดใหญ่ที่มีหลายห้องที่กันด้วยกระจกใส  แต่ตอนนี้ทุกห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีคนแม้แต่คนเดียวและไม่มีร่องรอยของข้าวของเสียหายแม้แต่น้อย

                 "นี่มัน...." เจนยืนอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นห้องทดลองขนาดใหญ่ตรงหน้า

                  "ที่นี่คือห้องทดลองเคลื่อนที่ของทางรัฐบาลไทยกับอเมริกา" แอนนาเดินนำหน้าเจนมายังทางเดินที่เปิดไฟสีขาวสว่างทั่วทั้งชั้น "พวกนักวิจัยทั้งหมดหนีออกไปหมดแล้วด้วยเรือฉุกเฉินตอนที่เชื้อแพร่กระจาย เหลือแต่ฉันคนเดียวที่อยู่ที่นี่ต่อเพื่อหาสาเหตุการแพร่เชื้อ" แอนนาเดินมาที่ตู้เย็นที่มีหลอดทดลองมากมายในนั้น

                  "อเมริการ่วมมือกับไทยเพื่อสร้างไวรัสเชื้อผีดิบอย่างงั้นหรือเนี้ย!!!" เจนคิ้วขมวดมองหน้าแอนนาด้วยความไม่พอใจ


                 "ตรงข้ามต่างหาก" แอนนากดปุ่มหมายเลขที่ตู้เย็นหลายปุ่ม ก่อนที่ไฟในตู้จะดับลงและกลายเป็นสีแดง

                 "ขั้นตอนการทำลายเสร็จสมบูรณ์" เสียงจากตู้เย็นดังขึ้นมาเป็นเสียงผู้หญิง บอกถึงขั้นตอนที่เกิดขึ้นในตู้แช่ไวรัส

                 "เมื่อหลายเดือนก่อนที่หมู่บ้านหนองยายแวง มีอุกาบาตลูกนึงตกลงมาที่หมู่บ้านแห่งนั้น ชาวบ้านจึงเก็บมากราบไหว้บูชา โดยที่ไม่รู้เลยว่าก้อนหินนั้นคือเชื้อไวรัสซอมบี้ที่เคยตกมาบนโลกเมื่อ65ล้านปีก่อน" แอนนายืนมองตู้แช่โดยไม่หันมามองเจนที่กำลังยืนฟังอยู่ "หลังจากนั้นชาวบ้านก็ได้รับเชื้อและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนเกินควบคุม เมื่อเราไปตรวจสอบก็พบว่าชาวบ้านทั้งหมดกลายเป็นผีดิบไปแล้ว" 

                "!!!!!????" เจนยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก เธอกำลังนึกภาพของเหล่าทหารที่ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมอาวุทครบมือ ยิงปืนใส่ผีดิบที่เป็นชาวบ้านทั้งเด็กผู้หญิงคนแก่

               "โชคดีที่ความเสียหายไม่รุนแรงจนแพร่กระจายไปที่อื่น แต่โชคร้ายตรงที่มีหลอดเลือดของผู้ติดเชื้อถูกส่งมาที่กรมสาธรณะสุข และมันก็หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ...." แอนนาเดินมาที่คอมพิวเตอร์ที่โต๊ะตัวหนึ่ง "หลังจากนั้นก็มีข่าวการใช้อาวุทชีวิตภาพทำให้คนกลายเป็นผีดิบในสนามรบทั่วโลก มีผู้เคราะห์ร้ายติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ทางอเมริกากับไทยจึงรีบค้นคว้าวิจัยเชื้อไวรัสตัวนี้เพื่อผลิตแอนตี้ไวรัส โดยที่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ เราจึงสร้างห้องทดลองเคลื่อนที่บนเรือแห่งนี้ยังไงล่ะ" แอนนาบอกความจริงกับเจน

              "งั้น...." เจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินทุกอย่าง

              "คนที่ขโมยไวรัสที่นี่คงจะเอาไปขายให้พวกพ่อค้าตลาดมืดไม่ก็ผู้ก่อการร้ายแน่ๆ ฉันจึงต้องทำลายเชื้อไวรัสที่นี่ให้หมด เราทำได้แค่นั้นในตอนนี้" แอนนาบอกกับเจน

              "เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง" ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังคุยกัน จู่ๆก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาที่ประตูลิฟท์พร้อมปืนในมือ

             "ดอม!!! เธอยังไม่ตายจริงๆด้วย" เจนวิ่งเข้าไปกอดแฟนหนุ่มด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าเค้าปลอดภัย

            "คุณเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาที่นี่ได้...!!!" แอนนาแสดงสีหน้าแววตาตกใจ


            "ผมก็ใช้เส้นสายนิดหน่อยเพื่อเข้ามาในนี้ก็เท่านั้นเอง" ดอมโชว์บัตรพนักงานที่เป็นคียการ์ดให้แอนนาดู

            "ไงเจน" ชายที่อยู่ด้านข้างของดอมทักทายเจนด้วยรอยยิ้ม

             "ชาย!!!" เจนดีใจเมื่อเห็นชายยังไม่ตาย 

             "คุณสองคนรอดมาได้อย่างไรกัน ฉันคิดว่าพวกคุณตายไปแล้วเสียอีก" เจนถามดอม

              "ก็เราสองคนมันสุดยอดยังไงล่ะที่รัก" ดอมพูดยิ้มๆกับเจน

             "เข้าใจแล้ว" แอนนามองมาทางดอมด้วยแววตาไม่พอใจ "พวกนายเองซินะที่เป็นปล่อยเชื้อนั้นออกไปบนเรือ"

              "ด๊อกเตอร์คุณพูดเรื่องอะไร...???" ดอมพูดขึ้นมา ขณะที่เจนปล่อยมือจากอ้อมแขนของเขา

              "ดอม....คุณทำใช่ไหม" เจนที่จ้องตาดอมพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าผิดหวัง

               "เจนเราอธิบายได้นะเรื่องนี้" ชายจะพูดอธิบายแต่ดอมก็ห้ามไว้ก่อน

             ดอมมองตาเจน "เข้าใจแบบนั้นมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องพูดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า เพราะไอ้คนที่เอาไวรัสมาขายให้มันดันซุ่มซ่ามทำหลอดทดลองตกแตกจนเชื้อแพร่กระจายในเรือจนหมดถึงจะถูก"  


            "เดาถูกจริงๆซะด้วย" แอนนาพูดประชด

            "ดอม...!!!???" เจนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก

             "ใจเย็นที่รัก เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปเอง" ดอมบอกเจนก่อนจะหันปืนมาทางแอนนา "คุณด๊อกเตอร์ ผมกับเพื่อนลงทุนมาที่นี่เพื่อตามหาไวรัสหลอดที่เหลือ ไม่ทราบว่ามันยังมีเหลืออยู่ไหมครับ" 

            "บ้าจริง!!! นังนั่นทำลายเชื้อไปแล้ว!!!" ชายอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นตู้เก็บเชื้อไวรัสมีไฟสีแดง

               "ผมเชื่อว่าคุณต้องมีเชื้อไวรัสซ่อนอยู่แน่ๆ เอามันมาให้ผมซะดีๆด๊อกเตอร์" ดอมเล็งปืนมาทางแอนนาด้วยน้ำเสียงจริงจังเข้มขรึมไม่มีท่าทางล้อเล่นอีกแล้ว

               "ฉันขอเดานะว่าคนที่ขายไวรัสให้นายคือโลกิ เพราะหมอนั่นไม่อยู่ตอนที่เราหนีออกจากที่นี่ นายฆ่าเค้าใช่ไม๊" แอนนาบ่ายเบี่ยงการตอบคำถาม

               "ก็มันดังเล่นตุกติกไม่ยอมขายให้ดีๆ ต่อลองนั่นต่อลองนี่ ฉันก็เลยฆ่ามันทิ้งเพื่อจะเอาไวรัสมา แต่มันดันโยนเชื้อไวรัสไปในห้องโถงซะก่อน เชื้อไวรัสก็เลยฟิ๊วววว เป็นอย่างที่เห็น" ดอมผิวปากด้วยท่าทางล้อเล่น


                 เจนกำลังนึกภาพของดอมกับไมค์ที่กำลังเจรจาขอซื้อไวรัสที่ด้านนอกเรือ การเจรจาไม่เป็นผลชายที่ชื่อโลกิจะเดินหนีแต่ก็ถูกดอมยิงเข้าที่ด้านหลัง ก่อนที่ชายคนนั้นจะขว้างหลอดทดลองไปยังห้องโถงที่มีนักท่องเที่ยวกำลังเต้นรำกันอยู่อย่างสนุกสนาน 

                  "ฉันต้องปกปิดหลักฐานในกล้องวงจรปิดทั้งหมด ไหนจะต้องคลำทางมาตั้งนานกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ดีนะที่คุณออกมาจากที่ซ่อนผมเลยหาห้องทดลองจนเจอ" เค้าโชว์บัตรผ่านของโลกิให้แอนนาดู

               "แถมต้องระเบิดเรือตัวเองอีก2ลำเพื่อปกปิดหลักฐาน" ชายพูดเสริม

                  "!!!???" เจนรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก

                  "แก...!!!" แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง แต่ท่าทางของเธอกลับนิ่งเฉย "แกมันเป็นผู้ก่อการร้ายชัดๆ"

                  "คุณจะพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ต้องพูดว่าพ่อค้าดีกว่า ผมแค่ซื้อของจากที่หนึ่งไปขายอีกที่หนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย"  ดอมพูดขึ้นมา ก่อนที่เค้าจะรู้สึกตัวว่าถูกเล็งด้วยปืนของเจน

               "ดอมเธอบ้าไปแล้ว...!!! นี่มันบ้าชัดๆทำไมคุณทำแบบนี้!!!" เจนน้ำตาไหลเมื่อจ่อปืนมาทางดอม


                "เจนวางปืนลงซะ!!!" ชายเล็งปืนมาทางเจนด้วยท่าทางตกใจ

                ดอมถอนหายใจแรงๆด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะหันมามองทางเจน "ที่รักผมก็คิดว่าจะบอกคุณเรื่องนี้วันหนึ่งเหมือนกัน แต่พอดีเรื่องมันมากระชั้นชิดไปหน่อย ผมเลยไม่ได้บอกคุณเรื่องสิ่งที่พวกเราทำ" ดอมมองตาเจน 
"ตอนนี้คุณก็รู้แล้วเรามาเป็นพวกเดียวกันเถอะ เราจะมีเงินใช้จ่ายไปตลอดชาติเลยนะถ้าไวรัสนี้ถูกปล่อยในตลาดมืด เราจะรวยแบบไม่รู้เรื่องกันเลย"  ดอมค่อยๆเดินมาหาเจนแต่เธอถอยหนีและยังคงจ่อปืนมาทางแฟนชายหนุ่ม

                  "ถ้าไวรัสถูกขายในตลาดมืด ก็อาจจะมีผู้ก่อการร้ายซื้อไป และอาจจะมีคนล้มตายเพราะไวรัสตัวนี้อีกนับไม่ถ้วน คุณบ้าไปแล้วหรอที่ทำแบบนั้น!!! ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องเป็นสิบๆล้านๆคนต้องล้มตาย!!! คุณจะทนเห็นแบบนั้นได้หรอ!!! ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้" เจนพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง เธอน้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นคนที่ตนรักกลายเป็นแบบนี้

                  "เจนคุณฟังผมนะ ต่อให้ผมไม่ทำก็ต้องมีคนอื่นทำ มันไม่ต่างกันหรอกเชื่อผมสิ!!!" ดอมตะคอกใส่เจนด้วยน้ำเสียงดุดัน

                   "ข้ออ้าง...!!! คุณต้องการแค่เงินเท่านั้น!!!" เจนน้ำตาไหลด้วยความผิดหวัง "คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันจับโกหกคนเก่งขนาดไหน ชั้นมองแววตาก็รู้แล้วว่าใครโกหก!!!"


                "เจน!!!" ชายจะพยายามเจรจากับเจน

                "นายด้วยชาย!!!" เจนตะโกนใส่ชายหนุ่มสวมแว่น

                "ถ้าใช่แล้วไงล่ะ!!! ฉันเป็นคนที่เอาไวรัสไปเผยแพร่ฉันมันเลว!!!  แล้วนักวิทยาศาสตร์พวกนี้ล่ะ!!!" ดอมชี้ปืนมาทางแอนนา "พวกมันเอาไวรัสพวกนี้มาทำอะไร ถ้าไม่ใช่เอามาเพื่อทดลองไปทำอาวุทชีวะภาพขายให้กองทัพ" ดอมโยนความผิดมาที่แอนนาที่ยืนอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ 


                ตอนช่วงจังหวะที่ไม่มีใครเห็น แอนนาได้กดปุ่ม Enter ที่แป้นคอมเพื่อทำอะไรบางอย่าง

                "รู้ไหมดอม เธอโกหกไม่เก่ง" เจนที่เล็งปืนมาทางดอมส่ายหน้าน้ำตาไหลด้วยความผิดหวังซ้ำสอง

                 "เออๆๆๆๆ เลิกพูดไร้สาระแล้วเอาไวรัสหลอดใหม่มา ฉันจะไปจากที่นี่โดยไม่ทำอะไรเธอสองคน" ดอมตัดบทเมื่อเขาเล็งปืนมาทางแอนนา ขณะที่ชายเล็งปืนมาทางเจนอีกครั้ง

                  "ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะไอ้หนอนเน่า" เจนด่าดอมด้วยความเจ็บใจ

                   "เสร็จรึยังว่ะจะได้รีบไป!!!" ระหว่างที่คนทั้งสี่กำลังเล็งปืนเข้าหากัน ชายแก่ที่เป็นหัวหน้าของเจนและดอมก็ลงมาจากลิฟท์พร้อมปืนในมือ

                   
                    "หัวหน้า...นี่คุณก็!!!!" เจนอึ้งพูดอะไรไม่ออก เมื่อจู่ๆหัวหน้าของเธอที่น่าจะอยู่ที่ฐานบนฝั่ง กลับมาปรากฏตัวที่เรือลำนี้ได้อย่างน่าแปลกประหลาด
                  
                    "ฉันสั่งให้นายมาชิงไวรัสจากไอ้บ้านั่น ไม่ใช่ทำให้เรือทั้งลำกลายเป็นแบบนี้ ต้องมานั่งกลบหลักฐานอีกเฮ้อ..!!!" ชายแก่บ่นดังๆระหว่างเดินมาที่คนทั้งสี่

                "เกิดเหตุผิดพลาดเล็กน้อยครับ" ชายบอกกับหัวหน้า

                ชายแก่มองมาทางเจนเมื่อชายพูดจบ "เจนถ้าเธอไม่เล่นด้วยเธอก็ต้องตาย มาเป็นพวกเราเถอะแล้วเธอจะสบายไปทั้งชาติ" ชายแก่ยื่นข้อเสนอกับเจน

                "ฉันยอมตายดีกว่าจะต้องเป็นคนสร้างหายนะให้โลก" เจนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของเธอมองมาทางชายแก่จนเขาต้องหลบตาเธอ

                "พูดได้ดี พูดได้ดี" ชายแก่เล็งปืนมาทางเจน 


                "ผมรักเธอนะเจน อย่าให้มันต้องลงเอยแบบนี้เลย" ดอมหันมาพูดกับเจนด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ 

                "โกหกจนวินาทีสุดท้ายเลยนะดอม" เจนพูดด้วยแววตาแข็งกร้าว จิตใจของเจนตอนนี้ไร้ซึ่งความรักผู้ชายคนนี้แล้ว

               "จับได้อีกแล้วสิ" ดอมเปลี่ยนสีหน้าเมื่อถูกจับได้ "งั้นก็ซาโยนาระนะที่รัก" เมื่อดอมพูดจบ จู่ๆก็มีผีดิบตัวนึงมาจากไหนไม่รู้ ตรงเข้ามากัดคอของชายที่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

               "อ๊ากกกกก!!!" ชายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด 

              "บ้าเอ๊ย!!!" ชายแก่ยิงปืนใส่ผีดิบตัวนั้นและยิงชายที่กำลังร้องโหยหวนอยู่บนพื้น

             เจนที่เห็นจังหวะจึงรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น เข้าไปหลบที่โต๊ะใกล้ๆพร้อมกับแอนนา

              "นังบ้า!!!" ดอมตะโกนออกมาด้วยความโมโห เขายิงผีดิบหลายตัวที่เดินอยู่ในห้องทดลอง

              "นังนั่นต้องปล่อยตัวทดลองออกมาแน่ๆ" ชายแก่ยิงปืนใส่ผีดิบระหว่างเดินหาเจนและแอนนา

              "เรือฉุกเฉินอยู่ตรงนั้น!!!" แอนนาบอกกับเจน แต่ทางไปต้องผ่านชายสองคนก่อน

               "เธอไปก่อนฉันจะล่อมันไว้เอง" เจนบอกกับแอนนาที่แอบอยู่มุมโต๊ะ

                "ฉันมีแผนที่ดีกว่านั้น" แอนนาสบตาเจน "ทำตามที่ชั้นบอก" แอนนาบอกแผนกับเจน


                "ฉันให้เวลาแกสองคนสิบวินาที ถ้าไม่ออกมาฉันจะเผาห้องทดลองให้เป็นจุล พวกแกจะตายอยู่ที่นี่ถ้าไม่ยอมส่งไวรัสมาให้เรา!!!" ดอมตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความโมโห

                "ก็ได้!!!" เจนออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับทิ้งปืนลงพื้น "ฉันยอมแพ้ คุณสองคนชนะ!!" เจนยกมือยอมแพ้พร้อมกับชูขวดไวรัสให้ทั้งสองคนเห็น

                "แล้วนังด๊อกเตอร์นั่นล่ะ!!!" ชายแก่หัวหน้าตะโกนถามเจน

                "แต่แกสองคนต้องปล่อยเราไป!!!" เจนบอกกับชายสองคนด้วยแววตามุ่งมั่น

                 "ได้เราให้สัญญา!!!" ชายแก่เดินมาหาเจนและรับไวรัสไปจากมือเธอ

                  "ที่ฉันสมัครมาเป็นหน่วยกู้ภัยทางทะเลเพราะต้องการช่วยเหลือคนไม่ใช่ทำร้ายคน" เจนพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉยเมื่อชายแก่เดินถอยหลังเล็งปืนมาทางเธอ

                  "เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน มากับเราเถอะเจน มีเฮลิคอปเตอร์รออยู่บนดาดฟ้า" ดอมชวนเจนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจ


                "ลาก่อน" เจนพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย

                 "เธอเลือกเองนะที่รัก" ดอมขึ้นลิฟท์ไปกับหัวหน้าเพียงสองคนพร้อมกับไวรัส ทิ้งแอนนากับเจนไว้ที่ชั้นใต้ดินของเรือสำราญ

                "ไปกันเถอะ" เจนพูดกับแอนนาเมื่อทั้งสองคนขึ้นลิฟท์ไปบนด้านบนของเรือ

                "ทีนี้เราก็จะรวยแล้วหัวหน้า!!!" ดอมกับหัวหน้าพูดยิ้มๆอย่างมีความสุขเมื่อได้ไวรัสมาครอบครอง

                เมื่อลิฟท์เปิดออกมาทั้งสองคนก็ใช้ปืนยิงผีดิบที่ทางเดินอย่างชำนาญ เพื่อรีบขึ้นไปยังดาดฟ้าของเรือที่มีเฮลิคอปเตอร์รออยู่

               "ปี๊ดดดดด!!! ปี๊ดดดดด!!! เตือนภัย เตือนภัย พบไวรัสรั่วไหลออกจากห้องทดลอง....เตือนภัย!!!" แต่ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินไปนั้น จู่ๆหลอดทดลองที่ทั้งคู่เอามาก็ส่งเสียงร้องดังลั่นเรือ ท่ามกลางความตกใจของคนทั้งสอง โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าเสียงที่ร้องนั้นคือการเรียกพวกผีดิบที่ไวต่อการรับเสียงให้มาหาตน

              ทั้งสองพยายามยิงต่อสู้กับผีดิบทั้งลำที่วิ่งมาหาตนตามเสียงร้องอย่างสุดชีวิต

              "ฉันตั้งระบบเตือนภัยแบบพิเศษ ให้ระบบเตือนด้วยเสียงชี้จุดที่หลอดทดลองอยู่ มันจะส่งเสียงดังบอกจุดที่ไวรัสอยู่เพื่อเรียกพวกซอมบี้ให้มาหาไวรัส พวกนี้ไวต่อการรับเสียงมากๆ" แอนนาบอกกับเจนเมื่อเธอได้ยินเสียงสัญญาณที่ดังออกมาจากหลอดทดลองด้านบนของเรือ

             "ลาก่อนที่รัก" เจนพูดทิ้งท้ายก่อนจะนั่งแคปซูลช่วยชีวิตออกมาจากเรือได้สำเร็จ

             "อ๊ากกกกก!!!" ขณะที่ดอมกับหัวหน้าร้องโหยหวนอย่างทรมาณเมื่อถูกพวกผีดิบที่ยกขโหยงมาทั้งลำตามเสียงร้อง รุมฉีกร่างกินเนื้อทั้งคู่อย่างบ้าคลั่ง

              หลังจากวันนั้นเรือสำราญเปกาซัสครายก็หายไปจากท้องทะเลและไม่มีใครเห็นมันอีกเลย....

                จบ




ตอนที่11.อุบัติการณ์


            ตอนที่11. อุบัติการณ์

            ค่ำคืนอันดึกสงัดท่ามกลางท้องทุ่งนาในหมู่บ้านกลางป่าที่ห่างไกลความเจริญ มีเพิงไม้หลังเล็กๆที่ปลูกอย่างง่ายๆด้วยหลังคามุง ด้านข้างเพิงพักมีกองฟางสุมอยู่กับควายตัวผู้ที่กำลังเดินไปมาอยู่ในคอก ด้านในเพิงพักมีสองพ่อลูกกำลังนอนหลับพักกายอยู่ในนั้น

           จ้อนเด็กชายวัย11ขวบที่มาช่วยพ่อเฝ้าควายตอนกลางคืน รู้สึกปวดฉี่จึงลุกขึ้นมากลางดึกเพียงลำพังโดยไม่ปลุกพ่อ

           เด็กชายเดินมาที่ด้านข้างของเพิง ก่อนจะยืนยิงกระต่ายท่ามกลางแสงจันทร์และหมู่ดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน

           ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามค่ำคืน หมู่ดาวทอแสงสว่างสไหวกระพริบไปมาดูสวยงามอย่าน่าประหลาด จนทำให้เด็กชายเผลอยืนมองท้องฟ้าจนลืมรูดซิบกางเกงตัวเอง....

           "ท้องฟ้าสวยจริงๆ บนนั้นจะมีอะไรอยู่บ้างนะ" เด็กชายพูดกับตัวเองระหว่างยืนเหม่อ

           "เอ๋....!!!??" จ้อนอุทานออกมาเบาๆ เมื่อจู่ๆเขาก็เห็นดาวดวงนึงบนท้องฟ้า กำลังตกลงมาบนพื้นใกล้จุดที่เขาอยู่

           "วี๊ดดดดดดดดดด!!!!   ตูม!!!" ดวงดาวที่พุ่งลงมานั้นส่งเสียงดังสนั่น พร้อมกลุ่มควันและเปลวไฟที่ลุกเป็นสีส้ม ก่อนจะระเบิดเสียงดังสนั่นไปทั้งหมู่บ้านเมื่อมันลงมาถึงพื้น

           "เกิดอะไรขึ้น!!!!" พ่อของจ้อนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ

          (ปล.ภาษาที่ทุกคนในตอนนี้พูดคือภาษาอีสาน แต่เขียนเป็นภาษากลางเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน)

          "มีอะไรหล่นลงมาจากฟ้าก็ไม่รู้ครับพ่อ!!!" จ้อนตะโกนบอกพ่อด้วยความตกใจ

           ไม่นานชาวบ้านคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงระเบิด ต่างก็มาชุมนุมกันที่เพิงของจ้อนและพ่อ

           "มันเป็นลูกไฟดวงโตหล่นลงมาจากฟ้าตรงนั้น ดังตูม!!!" จ้อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนในหมู่บ้านฟัง

           "ต้องเป็นผีพุ่งใต้แน่ๆ ผีพุ่งใต้ที่นำโชคนำลาภมาให้พวกเรา" ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

           "เอาไว้ตอนเช้ารอไฟดับก่อนแล้วเราค่อยไปดูกันว่ามันคืออะไร" ผู้ใหญ่บ้านบอกกับทุกคนก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
         
          จนรุ่งเช้าเมื่อไฟสงบลงชาวบ้านหลายคนที่กล้าพอ จึงอาสาไปดูตรงจุดนั้นว่ามันคืออะไร

          จ้อนที่แอบตามพวกผู้ใหญ่เข้าไปในป่าถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ไหม้ไฟเป็นตอตะโกแหวกเป็นทางยาวหลายเมตร ก่อนจะจบลงที่หลุมขนาดใหญ่เกือบเท่าสนามฟุตบอล ตรงกลางหลุมมีวัตถุทรงกลมขนาดเท่าลูกฟุตบอลสีดำใสเหมือนแก้ว อยู่ท่ามกลางดินสีดำที่แตกกระจายไปคนละทิศภายในหลุม เหมือนหินเหล่านั้นเคยเป็นเปลือกห่อหุ้มลูกบอลลูกนี้มาก่อน

           ชาวบ้านหลายคนยืนอึ้งพูดอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดนี้ จนกระทั่งมีหน่วยกล้าตายลงไปเอาลูกบอลนั้นขึ้นมาไว้ในหมู่บ้าน

           ด้วยความที่สิ่งนั้นเป็นทรงกลมและเปร่งประกายแวววาว จึงทำให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าประทานลงมาแกคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งศาลขึ้นมาตรงจุดที่มันตกและกราบไหว้บูชาเหมือนดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

           วันเวลาผ่านเลยไปหลายเดือนอย่างรวดเร็ว จากวันที่สิ่งแปลกประหลาดตกลงมาจากฟ้า จนทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น มาวันนี้ความตื่นเต้นเหล่านั้นได้หายไปจนหมด ไม่มีใครสนใจลูกบอลนั้นอีกแล้ว เรื่องราวของผีพุ่งใต้ที่ตกลงมาของจ้อนก็เป็นเรื่องที่ถูกลืม เพราะตั้งแต่ที่ชาวบ้านได้เจ้าสิ่งนี้มา ก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรออกมาเลย จึงไม่น่าแปลกที่สิ่งนี้จะถูกลืม

          ศาลไม้ที่ชาวบ้านสร้างให้ตอนนี้ถูกทิ้งร้างอยู่ในป่าตรงจุดเดียวกับที่เจ้าสิ่งนี้ตกลงมา ไม่มีใครเข้ามากราบไหว้อีกแล้ว แม้แต่จ้อนก็ลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปเช่นกัน

          วันเวลาผ่านไปจนถึงช่วงปิดเทอมกลางเดือนเมษาที่ร้อนอบอ้าว จ้อนและเพื่อนชายอีกสองคนมาก็มาวิ่งเล่นยิงนกตกปลากันในป่า จนกระทั่งวิ่งมาถึงศาลไม้ที่อยู่ในป่า

          "นี่มันศาลผีพุ่งใต้นี่นา ข้าจำได้ว่ามันตกลงมาจากฟ้า" จ้อนบอกกับเพื่อนอีกสองคนถึงความทรงจำครั้งเก่า

          "ข้าไม่เห็นจำได้เลยว่ามีของแบบนี้อยู่" เพื่อนชายร่างอ้วนของจ้อนเกาหัวพูดออกมา

           "เอ็งจำไม่ได้หรอว่ะไอ้ทอง ก็ไอ้ลูกกลมๆดำๆที่หล่นลงมาจากฟ้านั่นไง" จ้อนทบทวนความทรงจำของเพื่อน

            "ไหนว่ะลูกดำๆ ข้าเห็นแต่ลูกทองๆ เอ็งขี้โม้ที่หว่า" เพื่อนร่างผอมตัวเล็กชะโงกหน้าไปดูในศาลเห็นลูกบอลสีทองที่ถูกปิดด้วยทองเปลววางอยู่ในศาล

           "เดี๋ยวข้าหยิบมาให้ดูถ้าเอ็งไม่เชื่อ!!!!" จ้อนเดินไปที่ศาลไม้และหยิบลูกแก้วสีทองออกมาจากในศาล

          "ไหนๆ สีดำตรงไหนกัน" เพื่อนร่างผอมของจ้อนคว้าลูกแก้วจากมือของจ้อนมาดู

          "อย่างแย่งซิเดี๋ยวข้าขูดทองคำเปลวออกก่อนเอ็งจะได้เชื่อข้า!!!" จ้อนแย่งลูกแก้วคืนมาจากเพื่อน

          "ข้าขูดเอง!!!" เพื่อนร่างผอมของจ้อนแย่งคืน

          "ข้าขูดเอง!!!" จ้อนแย่งคืนด้วยท่าทางไม่พอใจ

           ทั้งสองคนยื้อแย่งกันไปมาจนลูกแก้วนั้นก็ตกลงจากมือของเด็กชายทั้งสอง หล่นลงบนก้อนหินที่อยู่บนพื้น

           "แกร๊ก....ฟู่!!!! ฟู่!!!! ฟู่!!!!" เสียงของลูกแก้วที่แตกดังขึ้นมาเบาๆเมื่อมันกระทบลงก้อนหิน ก่อนจะมีเสียงดังฟู่คล้ายเสียงแก๊สรั่วพุ่งออกมาจากลูกแก้ว

           "แค๊กๆ แค๊กๆๆๆ" เด็กชายทั้งสามคนลำลักควันที่พุ่งออกมาจากลูกแก้ว

           "เหม็นจริงๆเลย อย่างกะหมาเน่า!!!!" จ้อนเอามือปิดจมูกอุทานออกมาเสียงดัง

           "พวกเอ็งทำอะไรกันตรงนั้น!!!" ลุงแก่ๆคนนึงที่เดินกลับมาจากสวน เห็นทั้งสามจึงตะโกนดุเสียงดัง

           "ตัวใครตัวมันโว้ย!!!!" เด็กทั้งสามวิ่งหนีออกจากตรงนั้นด้วยท่าทางตกใจ ทิ้งลูกแก้วที่พ่นควันเหม็นๆเอาไว้บนพื้นโดยไม่มีใครรู้

           "ไอ้เด็กพวกนี้ ซนจริงๆเลย!!!" ชายแก่ตะโกนด่าตามหลังพวกจ้อนที่วิ่งหนีไป 

           "เหม็นอะไรว่ะ!!!" ชายแก่บ่นดังๆก่อนจะเดินจากไป

           สายลมที่พัดพาปลิวกลิ่นเหม็นที่ว่าลอยเข้าไปในหมู่บ้านโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว 

           ตกดึกคืนนั้นเองจ้อนก็มีอาการแปลกๆ เขาไอออกมาไม่หยุดหน้าซีดและมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก

            "ให้กินยาแล้วก็ไม่ดีขึ้นเลยพ่อเอ็ง แบบนี้คงต้องเรียกหมอจากในตัวเมืองมารักษาแล้ว" แม่ของจ้อนพูดด้วยความเป็นห่วงลูกชายของตน

            "งั้นเดี๋ยวข้าไปบอกพ่อผู้ใหญ่ก่อนแล้วกัน เขาจะได้โทรไปแจ้งสาธารณะสุขแต่เช้า" พ่อของจ้อนรีบออกมาจากกระท่อมวิ่งตรงไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน ที่เป็นบ้านบ้านไม้แบบยกพื้นสูง 

            เมื่อพ่อของจ้อนมาถึงบ้านผู้ใหญ่ เขาก็พบกลุ่มคนอีกหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก่อนตนแล้ว

             "ลูกเอ็งก็มีอาการไม่สบายแบบแปลกๆด้วยใช่ไหมว่ะ!!!" ลุงผู้ใหญ่บ้านร่างอ้วนลงพุงหัวล้านนุ่งผ้าขาวม้า พูดกับพ่อของจ้อนเมื่อเห็นเขาวิ่งหน้าตาตื่นมา

             "จ๊ะ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา เมื่อตอนเย็นให้แม่หมอรักษาแล้วแต่ก็ไม่หาย คงต้องพึ่งยาของในเมืองแล้วจ๊ะพ่อผู้ใหญ่" พ่อของจ้อนบอก

             "ไม่ใช่แค่ลูกเอ็งหรอกที่เป็น ลูกชายข้ากับคนอื่นๆในหมู่บ้านก็เป็นโรคเดียวกัน" พ่อของทองเด็กชายร่างอ้วนพูดกับพ่อของจ้อน

              "งั้นเอาแบบ นี้คืนนี้พวกเอ็งไปดูแลลูกๆกับคนป่วยไปก่อน พอเช้าข้าจะโทรศัพท์ไปแจ้งกรมสาธารณะสุขที่อำเภอมาตรวจ ตอนนี้โทรไปก็ไม่มีใครรับสายหรอก ไปๆแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน" ลุงผู้ใหญ่บ้านบอกกับชาวบ้านที่มาชุมนุม ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันกลับบ้านของตนอย่างไม่มีทางเลือก

               8.30 นาที. กรมสาธารณสุขประจำจังหวัด

             "ฮาโหล สวัสดีคะ กรมสาธารณะประจำจังหวัดคะ อ๋อ ลุงผู้ใหญ่สวัสดีคะ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยค่ะ" หญิงสาวผมยาวตัวเล็กในชุดกราวแบบหมอรับสายจากโต๊ะทำงานของตน 

              "ที่หมู่บ้านมีโรคระบาดหรอคะ อาการของโรคเป็นยังไงพอจะอธิบายได้ไหมคะ" หญิงสาวจดอาการป่วยที่ผู้ใหญ่บ้านรายงานมาอย่างละเอียด "คะ เราจะรีบไปตรวจสอบทันที" หญิงสาววางสายเมื่อคุยกับลุงผู้ใหญ่บ้านเสร็จ

              "ที่หมู่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรอ" ชายร่างอ้วนไว้เคราในชุดซาฟารีที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันถามหญิงสาว

              "ที่หมู่บ้านเกิดโรคประหลาด ทางผู้ใหญ่เรียกเราให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน" หญิงสาวรีบกดโทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องนี้กับหัวหน้าหน่วยทันที

              "ก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ชาวบ้านในป่าในดงแบบนั้นชอบจับกิ้งก่าเอยแมลงเอยมากิน ก็ไม่แปลกที่จะเกิดโรคระบาดแบบนั้นขึ้นมาได้" ชายร่างอ้วนไว้เคราพูดกับหญิงสาวระหว่างที่เธอรอสายจากหัวหน้า

              "พี่ต้อมก็พูดเกินไป หนูเองก็โตมาจากที่หมู่บ้านนั้นเหมือนกันนะ" หญิงสาวพูดเสียงดุใส่ต้อมชายร่างอ้วน

              "ขอโทษจ๊ะ พี่ไม่รู้ว่าแป้งโตมาจากที่นั่น" ช่ายร่างอ้วนพูดเสียงเบาลงเมื่อพูดไปตรงจุด

              "คะหัวหน้า เมื่อกี้ทางผู้ใหญ่บ้านหนองยายแวงโทรศัพท์มาบอกว่าที่นั่นเกิดโรคระบาด ขอให้ทางเราส่งคนไปรักษา คะได้ค่ะ จะรีบดำเนินการทันทีค่ะ" แป้งวางสายโทรศัพท์เมื่อพูดจบ

             "หัวหน้าว่ายังไงบ้าง" ต้อมถามแป้งโดยที่เขาก็พอจะทราบคำตอบดีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร

             "หัวหน้าอนุญาติให้เราส่งเฮลิคอปเตอร์กับหมอไปตรวจที่หมู่บ้านทันทีเดี๋ยวนี้เลยคะ" แป้งพูดจบเธอก็รีบโทรศัพท์ไปบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมออกเดินทาง

             "ให้เดานะ หัวหน้าก็คงจะเป็นคนที่เกิดจากที่นั่นใช่ไหม ถึงได้อนุมัติเรื่องเร็วขนาดนี้" ต้อมเกาหัวเบาๆระหว่างพูด

             "ก็รู้อยู่แล้วยังจะมาถามอีก" แป้งพูดเสียงดุ

             หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง แป้งก็เรียกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่กับอุปกรณ์สำหรับตรวจรักษาและวิจัยโรคมาไว้ที่เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำ

            "ทุกคนพร้อมนะคะ" แป้งที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ยืนพูดกับกลุ่มคน13คนที่หน้าเฮลิคอปเตอร์ 

            "จากนี้ไปเราจะไปตรวจวิจัยและรักษาโรคระบาดที่หมู่บ้านหนองยายแวง ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ให้ดีเหมือนอย่างเคย และทำรายงานการตรวจรักษาส่งให้ดิฉันเมื่องานเสร็จด้วย มีแค่นี้ค่ะ" เมื่อแป้งพูดจบทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เตรียมเอาไว้

           เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นจากฟ้า พาทุกคนสู่หมู่บ้านในป่าที่ห่างไกลความเจริญ 

           "โรคอาหารเป็นพิษรึเปล่า" ชายร่างผอมผิวดำพูดกับแป้งระหว่างที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปกับหน่วยสาธารณะสุขเคลื่อนที่ในฐานะแพทย์ฝึกหัด

           "ไม่น่าจะใช่นะแป้งว่า จากที่ผู้ใหญ่บ้านบอกมาผู้ป่วยมีอาการไออย่างต่อเนื่องไม่หยุด แขนขาไม่มีแรง ตัวเย็นเฉียบมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับโรคอาหารเป็นพิษเลย" แป้งบอกกับแพทย์ฝึกหัดที่มากับหน่วยสาธารณะสุข

           "ไม่เคยได้ยินอาการแบบนี้มาก่อน" ต้อมชายร่างท้วมมีเคราพูดทำท่าคิด

            "ขอให้อย่ามีไม่มีอะไรร้ายแรงเลย" แป้งบ่นออกมาดังๆด้วยความไม่สบายใจ

             เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือป่าอันเขียวขจี ก่อนจะมาแล่นลงที่หมู่บ้านเล็กๆกลางป่าที่อยู่ห่างไกลความเจริญ


             เมื่อเฮลิคอปเตอร์มาถึงหมู่บ้าน ทั้งหมดก็รีบขนของลงมายังกระโจมกลางหมู่บ้าน ที่เป็นเพิงไม้ขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะเก้าอี้หลายตัวตั้งอยู่ ที่นี่มีผู้ป่วยทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ต่างก็นั่งรอรับการรักษาอยู่ที่นี่แล้ว

             "ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะเป็นโรคติดต่อทางลมหายใจ เพราะคนในหมู่บ้านใกล้ชิดกันขนาดนี้น่าจะเป็นทั้งหมดหมู่บ้านไปแล้ว"

ต้อมพูดกับแป้งระหว่างขนของลองมาจากเฮลิคอปเตอร์

             "ถ้าไม่ใช่โรคติดต่อก็น่าจะเป็นอาหารเป็นพิษ คงต้องไปตรวจสอบที่แหล่งน้ำกับสอบถามชาวบ้านดู" ชายร่างผอมผิวดำพูดกับแป้ง


            "เดี๋ยวให้คนไปตรวจสอบ" แป้งตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ

            เมื่อทุกคนขนของลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อย แพทย์ฝึกหัดและหมอก็เริ่มทำงานของตนทันที โดยเริ่มตรวจรักษาคนที่มีอาการหนักสุดไปหาคนที่ป่วยน้อยที่สุด

             "เจาะเลือดพวกที่มีอาการหนักๆมาเรียบร้อยแล้ว" ต้อมเอาหลอดบรรจุเลือดมาให้แป้งที่กำลังส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจหาโรคอยู่

             "ขอบคุณ" แป้งหน้าบึ้งๆด้วยความไม่สบายใจเมื่อรับกล่องบรรจุหลอดเลือด     

              "เป็นไง เจออะไรในแหล่งน้ำบ้างไหม" ต้อมลูบเคราตัวเองระหว่างยืนคุยกับแป้ง

              "ไม่มีอะไรผิดปกติ แหล่งน้ำสะอาดบ่อน้ำที่ใช้ก็ปกติ ชาวบ้านไม่ได้ไปจับตัวอะไรแปลกๆมากินหรือโดนตัวอะไรกัด แค่จู่ๆทุกคนก็ไม่สบายขึ้นมาพร้อมๆกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ" แป้งเอาเลือดที่ได้มาส่องกล้องจุลทรรศน์ระหว่างคุยกับต้อม

              "หัวหน้า ยาแก้ไอ้ไม่ช่วยอะไรเลย คนป่วยอุณหภูมิลดต่ำมากๆชีพจรก็เต้นช้าลง ความดันเลือดก็ลด มันเหมือนทุกอย่างในร่างกายพร้อมใจกันทำงานช้าลง แต่กลับไม่มีอาการตัวร้อนหรือเป็นไขเลย" บอมชายร่างผอมผิวดำเดินส่ายหน้ามาพูดกับแป้งเพื่อรายงานสิ่งที่ตนตรวจเจอ


               "ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนตั้งแต่ทำงานมา" ต้อมอุทานออกมาเบาๆ

              "ทั้งสองคนดูมาดูอะไรนี่ซิ..." แป้งมีสีหน้าตกใจ เธอเรียกเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนให้มาดูสิ่งที่เธอเห็นในกล้องจุลทรรศน์

              "อะไรว่ะเนี้ย..???!!"  ต้อมอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏในกล้องจุลทรรศน์

               "เม็ดเลือดของผู้ป่วยกำลังถูกยึดครองจากเชื้ออะไรบางอย่าง ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต" บอมเอามือปาดเหงื่อที่หน้าด้วยท่าทางเป็นกังวลหลังจากส่องกล้องจุลทรรศน์


               ในภาพของกล้องจุลทรรศน์ปรากฏภาพของเซลเม็ดเลือดของผู่ป่วยที่เป็นเซลสีแดงสดทรงกลม กำลังถูกเซลของไวรัสสีเขียวเข้มเข้าไปยึดครองจนเซลเม็ดเลือดเปลี่ยนจากสีแดงสด เป็นสีเขียวอย่างรวดเร็ว

                "มันเชื้ออะไรกัน??!!!" แป้งอุทานออกมาเบาๆ เธอพยายามดูซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจว่าเธอเข้าใจไม่ผิด 


               "เหมือนว่าเชื้อโรคพวกนี้มันกำลังยึดครองเซลในร่างของของคนป่วย" ต้อมมองหน้าเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนด้วยท่าทางตกใจ

              "เราต้องรายงานเรื่องนี้กับศูนย์ใหญ่ให้รู้ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะจัดการเองได้แล้ว" แป้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอมีอาการตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนกดเบอร์โทรศัพท์ไม่ถูก


              "อ่ะ...ฮาโหล!!! คะนี่ดิฉันเอง!!! ตอนนี้เราเจอโรคประหลาดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนคะหัวหน้า!! เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป!!!" แป้งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เธอทำอะไรไม่ถูกเมื่อมาเจอสถานการณ์แบบนี้ 

                "ค่ะดิฉันจะทำตามที่ท่านบอก!!!" แป้งวางสายเมื่อพูดจบ

                "ทางศูนย์ใหญ่ว่าอย่างไงบ้างแป้ง" ต้อมถามแป้งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

              "เขาให้เราเอาเลือดไปตรวจสอบที่ศูนย์ด่วนที่สุด!!! เดี๋ยวพี่ช่วยเอาหลอดเลือดนี้ไปให้นักบินเอาไปให้ที่ศูนย์ใหญ่ด้วยนะค่ะ" แป้งพูดกับต้องพร้อมกับส่งกล่องใส่หลอดเลือดให้เขา

             "แต่เฮลิคอปเตอร์เรามีแค่2ลำเองนะ ไปตอนนี้ลำนึงกว่าจะบินกลับมารับพวกเราคงกินเวลานานมาก เราไม่น่าจะ" ต้อมพูดไม่ทันจบก็มีเสียงร้องโวยวายออกมา เมื่อจ้อนกับเด็กอีกสี่คนที่นอนป่วยเริ่มชักกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง

               "คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!" แป้งมองตาต้อมเมื่อพูดกับเขา

               "เธอพูดถูกเราจะรอช้าอยู่ไม่ได้แล้ว" ต้อมบอกกับแป้ง ก่อนจะปล่อยให้เธอนำหลอดใส่เลือดไปที่เฮลิคอปเตอร์

              "ทุกคนออกไปอย่ามุงคนป่วยครับ!!!!"  บอมชายผิวดำรีบวิ่งมาดูอาการคนป่วยทันที แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบเด็กชายจ้อนก็หยุดชักและนอนแน่นิ่ง

              "มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณหมอ!!!" แม่ของจ้อนพูดกับบอมชายผิวดำที่กำลังตรวจชีพจรเด็กชายจ้อน

              "เสียใจด้วยครับ เขาตายแล้ว"  บอมพูดเสียงสลดบอกแม่ของเด็กชายจ้อน


               "ไม่จริงใช่ไหม!!!!" แม่ของจ้อนร้องไห้โฮกอดศพลูกชายที่ตายอย่างทรมาณ

               "!!!!" และตอนนั้นเองจู่ๆผู้ป่วยหลายคนต่างก็มีอาการชักกระตุกและหยุดหายใจตามเด็กชายจ้อน

               แพทย์และผู้ช่วยต่างพากันช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการชัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าช่วยจับผู้ป่วยที่มีอาการชักนอนนิ่งๆ ก่อนที่ผู้ป่วยจะหมดลมหายใจไปในที่สุด

               ตอนนี้เสียงร้องของความเสียใจและเสียไอของคนในหมู่บ้านดังระงมไปทั่ว ท่ามกลางความตกใจและแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

              "นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!! ทำไมคนในหมู่บ้านถึงล้มตายตามๆกันแบบนี้!!!" ผู้ใหญ่บ้านเดินกึ่งวิ่งมาหาแป้งที่กำลังยืนมองเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปบนฟ้า

               "หนูเองก็ไม่ทราบเหมือนกันคะ แต่เราส่งเลือดผู้ป่วยไปที่ศูนย์ใหญ่แล้วไม่นานคงรู้ผลตรวจและวิธีการรักษา" แป้งบอกกับผู้ใหญ่บ้านที่กำลังยืนคิ้วขมวดด้วยความทุกใจเมื่อเห็นลูกบ้านหลายคนกำลังล้มตาย

               "คงเป็นเพราะผีพุ่งใต้นั่นแน่ๆที่นำเรื่องร้ายๆมาสู่หมู่บ้าน" ผู้ใหญ่บ้านนึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในหมู่บ้านด้วยความโมโห


               "ผีพุ่งใต้อะไรนะค่ะ???" แป้งถามลุงผู้ใหญ่

                "เมื่อหลายเดือนก่อนมีดาวตกลงมาจากฟ้า พวกชาวบ้านคิดว่ามันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยเอากราบไหว้ ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นของไม่ดีที่นำพาโรคร้ายมาสู่หมู่บ้าน" ลุงผู้ใหญ่โมโหเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

                 "ผีพุ่งใต้...หรือว่าจะเป็นอุกาบาต" แป้งรีบโทรไปรายงานเรื่องนี้กับศูนย์ใหญ่ทันที

                  "ค่ะ ดิฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะคะว่ามันจะเกี่ยวกันไหม แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่คนในหมู่บ้านจะคิดออก คะได้คะ" แป้งหันไปมองในกระโจมที่ตอนนี้คนในหมู่บ้านหลายคนที่ไม่เป็นอะไร เริ่มมีอาการไอออกมา 

               "ตอนนี้มีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วคะ ค่ะ รีบส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือด้วยคะ ค่ะ" แป้งเดินไปเดินมาระหว่างคุยโทรศัพท์ เธอมีอาการเครียดจนทำอะไรไม่ถูก

                และตอนนั้นเอง....จู่ๆเสียงไอและเสียงร้องไห้ของชาวบ้านก็เงียบลงจนแป้งรู้สึกแปลกใจ

              "ก๊ากกกกก!!!! ก๊ากกกก!!!" เมื่อเธอหันไปมองที่กระโจม เธอก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆดังออกมาจากที่นั่น พร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาณและความตกใจแทรกตามมา

            มีกลุ่มคนวิ่งหนีออกมาจากกระโจมด้วยท่าทางแตกตื่น

            "เกิดอะไรขึ้น....!!!!"  แป้งถามชายคนหนึ่งที่วิ่งผ่านมาด้วยความแปลกใจ


              "หนี...หนีเร็วเข้า!!! พวกนั้นถูกปอบสิง!!!" ชายคนนึงบอกแป้งด้วยสีหน้าตกใจสุดขีดก่อนจะวิ่งหนีหายไปในหมู่บ้าน

             ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย มีเพียงแป้งเท่านั้นที่วิ่งกลับไปที่กระโจมนั่นอย่างไม่รอช้า

              เมื่อเธอไปถึงที่นั่นหญิงสาวก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเธอเห็นภาพของคนที่เคยเป็นผู้ป่วยนอนใกล้ตายมะรอมมะล่อและคนที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อกี้ กำลังนั่งฉีกท้องควักไส้พุงของคนที่ไม่ได้เป็นอะไรออกมากินอย่างหิวโหย

             "หนีเร็ว...!!!"  บอมคว้ามือแป้งที่ยืนตะลึงอยู่หน้ากระโจม เธอเห็นเด็กชายจ้อนกำลังควักเอาตับของแม่ตนเองมากินอย่างหิวโหย ขณะที่คนป่วยคนอื่นๆต่างก็พากันกัดกินร่างของคนที่ไม่ได้ป่วยทั้งเป็นในกระโจมนั่น

              "ก๊าก ก๊ากกกกกก!!!!" เหล่าคนที่ติดเชื้อต่างพากันร้องตะโกนเสียงแหลมเหมือนเป็นการสื่อสารกัน ก่อนที่คนติดเชื้อคนอื่นๆจะวิ่งไล่คนที่ไม่ได้เป็นอะไรอย่างบ้าคลั่ง

             แป้งกับบอมรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตรงเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับคนอื่นๆ บางคนที่แก่หรือวิ่งไม่ทันก็ถูกพวกที่ติดเชื้อรุมขย้ำควักเครื่องในออกมากินเหมือนปอบแย่งอาหาร ขณะที่คนที่ถูกควักไส้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ชั่วขณะนึงเพื่อมองเครื่องในตัวเองถูกกินก่อนตาย

            "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!! ทำไมคนป่วยถึงไล่ฆ่าคนแบบนี้ล่ะ!!!"  แป้งถามบอมด้วยความตกใจ เมื่อทั้งสองวิ่งเข้ามาหลบในกระท่อมหลังนึง 
ขณะที่ด้านนอกก็มีเสียงร้องของคนที่โดนทำร้ายตลอดเวลา

           "ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!!!" บอมที่กำลังล๊อคประตูบ้านพูดกับแป้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตกใจสุดขีด "เราต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่!!!"

              "เราหนีไปไหนไม่ได้นายก็รู้ ที่นี่เป็นป่าล้อมหมู่บ้านหมดทุกทาง ต้องเดินตัดป่าไม่ก็ขับเฮริคอปเตอร์ออกไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้นักบินจะเป็นยังไง" แป้งพยายามควบคุมสติและใช้ความคิด แต่การสลัดภาพอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นในกระโจมให้ออกไปจากหัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

               "ผมขับเป็น ผมเคยเรียนมาบ้างไม่ถึงกับเก่งอะไรแต่ก็พอขับไปจากที่นี่ได้" บอมบอกกับแป้ง

              "ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอีก อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์" แป้งหาอาวุทที่มีในบ้านหลังนี้จนเจอมีดพร้าเล่มโตเป็นอาวุท


             "จากตรงนี้ต้องวิ่งไปที่เฮลิคอปเตอร์อย่างเดียวเท่านั้น คงช่วยเหลือใครไม่ได้ คุณคงเข้าใจตรงนี้นะครับ" บอมบอกกับแป้ง

             "ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดีนายไม่ต้องย้ำหรอก ยิ่งเราช่วยคนเราก็จะยิ่งช้า โอกาสรอดก็จะน้อยลงไปด้วย ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดี" บอมพูดกับแป้งถึงสิ่งที่ควรทำ

             "นับสามนะครับ" บอมยืนรอที่ประตูมองหน้าแป้งที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ในมือของเธอมีมีดพร้าที่พร้อมจะใช้งานเมื่อจำเป็น

             แป้งพยักหน้าบอกบอมเมื่อเธอพร้อม....

             "สาม!!!!" บอมเปิดประตูทันทีเมื่อนับสาม

             "ก๊ากกกกกก ก๊ากกกก!!!" เมื่อเปิดประตูออกมาเธอก็เจอคนติดเชื้อคนนึงอยู่ที่หน้าบ้านที่เธออยู่  แป้งจึงไม่รอช้าใช้มีดพร้าจามเข้าที่หัวของชายคนนั้นจนล้มลงนอนตายคากองเลือดบนพื้น

              "ไปกันเถอะ!!!" เธอบอกกับบอมที่ยืนอึ้งอ้าปากค้าง

              ทั้งสองคนค่อยๆเดินออกมาจากบ้านอย่างช้าๆ ระหว่างทางเธอพบศพชาวบ้านนอนตายอยู่หลายศพ 


              แป้งสะกิดชี้ให้บอมดูตรงมุมหนึ่งบนถนน ที่เห็นชาวบ้านหลายคนกำลังนั่งรุมกินร่างแพทย์ในชุดกราวที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้น

               "กรี๊ดดดดดด!!!" ตอนนั้นเองก็มีหญิงสาวคนนึงร้องออกมาจากอีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน ทำให้กลุ่มผู้ติดเชื้อได้ยินและวิ่งตามเสียงร้องไป

              เมื่อสบโอกาสทั้งสองจึงรีบวิ่งผ่านตรงนั้นไปทันที

             ระหว่างทางที่หนีทั้งคู่ก็เห็นบ้านหลายหลังมีคนแอบอยู่ โดยทุกคนต่างปิดประตูเงียบไม่มีใครกล้าออกมา จะมีก็แต่แอบมองตามช่องหน้าต่างหรือเห็นเงาแว๊บๆเท่านั้น

             "รีบไปกันเถอะ!!! เราช่วยอะไรไม่ได้คุณก็รู้!!!" บอมบอกกับแป้งเพื่อให้เธอรีบหนีไปที่เฮลิคอปเตอร์โดยไม่ต้องสนใจคนเหล่านั้น

             ทั้งสองคนวิ่งออกมาจากหมู่บ้าน ผ่านกระโจมที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเศษเนื้อและซากศพคนตาย ที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆอยู่ตามพื้น โดยไม่มีร่างของพวกที่ติดเชื้ออยู่ตรงนั้นเลย

             "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!" มีเสียงร้องดังกึกก้องอยู่ในป่าเป็นระยะเมื่อทั้งสองวิ่งมาที่เฮลิคอปเตอร์

             เมื่อมาถึงเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองรู้สึกโล่งอกที่สามารถวิ่งมาถึงได้อย่างปลอดภัย และพบนักบินกำลังนั่งอยู่ในห้องคนขับ

            "พี่คะรีบหนีไปจากที่นี่เร็วเข้า!!!" แป้งกับบอมรีบขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์และบอกคนขับให้บินขึ้นฟ้าทันที

            "บ้าเอ๊ย....!!!" บอมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นนักบินตายไปแล้วในสภาพถูกยิงกลางแซกหน้า

            "ฉันเป็นคนทำเองล่ะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของคนทั้งสองบนเฮลิคอปเตอร์ 

             "พี่ต้อม!!! หมายความว่ายังไงคะ!!!" แป้งอุทานออกมาเบาๆด้วยท่าทางตกใจ

             "พี่เป็นคนฆ่านักบินเอง เพื่อไม่ให้มันบินขึ้นไปตอนนี้จนกว่าพี่จะได้ของที่ต้องการ" ต้อมเล็งปืนมาที่แป้งที่ถือมีดพร้า

             "ของที่ต้องการ!!???" บอมพูดขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจ

             "ใช่ของที่ฉันต้องการ" ต้อมเล็งปืนมาที่มือของแป้งและเขย่าปืนเบาๆ เพื่อเป็นการบอกให้เธอทิ้งมีด 

              แป้งทิ้งมีดพร้าด้วยความไม่พอใจ

              "ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่พอได้ยินจากชาวบ้านว่ามีผีพุ่งใต้ตกลงมาเมื่อหลายเดือนก่อน บวกกับสิ่งที่เกิดขึ้นฉันเลยคิดว่าเจ้าสิ่งที่ว่านี้น่าจะทำประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อยในเชิงธุรกิจ" ต้อมบอกกับคนทั้งสอง

              "อย่าบอกนะว่าแกจะเอาอุกาบาตนั่นไปทำเป็นอาวุทเชื้อโรค" แป้งคิ้วขมวดพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเจ็บใจ

              "ก็ประมาณนั้น" ต้อมยักไหล่ "แค่เลือดของผู้ป่วยอาจจะไม่มากพอที่จะไปขาย แต่ถ้าได้แหล่งแพร่เชื้อมาก็อาจจะเอามาขายได้ คิดว่านะ แต่มันมีปัญหาอยู่นิดนึงตรงที่" 

              "แกไม่กล้าไปเอามันมาเองใช่ไหม" บอมพูดก่อนที่ต้อมจะพูดออกมา "เวลาแบบนี้แทนที่แกจะคิดถึงการเอาตัวรอด แต่แกกลับคิดถึงแต่เรื่องเงิน" บอมต่อว่าต้อมด้วยความโมโห

              "ก็มันน่าจะเอาไปทำประโยชน์ได้นี่นา เผลอๆถ้าคิดยาแก้ออกมาได้ เราจะได้ขายทั้งยาแก้พิษและตัวพิษไปพร้อมกันเลยก็เป็นได้ ไม่คิดว่าน่าสนใจหรอ" ต้อมยิ้มฟันขาว

               "แกมันชั่ว....!!!" แป้งตะโกนว่าต้อม

              "จะว่ายังไงก็ตามใจเถอะ ตอนนี้ฉันต้องการคนขับเฮลิคอปเตอร์1อัตตรา กับคนที่จะอาสาไปเอาอุกาบาตรนั่นมาให้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครควรทำหน้าที่อะไรใช่ไหม" ต้อมชี้ปืนมาทางบอม

             "ฉันรู้ว่าแกขับมันเป็น ขึ้นมานั่งที่คนขับและทำแบบนั้นซะถ้าอยากจะมีชีวิตรอด!!!" ต้อมตะโกนเสียงดุ "ส่วนเธอต้องไปเอาอุกาบาตรก้อนนั้นมาให้ฉัน ไม่งั้นก็อดไปจากที่นี่!!!" 

              "ได้....!!!แป้มรับคำ แต่แกต้องสัญญาว่าจะพาเราสองคนไปจากที่นี่" แป้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               "คำไหนคำนั้น" ต้อมยิ้มให้แป้ง "เดี๋ยวจะขับเฮลิคอปเตอร์ล่อพวกที่ติดเชื้อไปให้ เธอแค่ไปเอามันมาและกลับมาที่นี่ง่ายๆแป๊บเดียวก็เสร็จ" 

              "ได้ฉันจะทำ" แป้งมองตาของบอมที่นั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์

               "ออกบินเลยกัปตัน" ต้อมพูดกับบอมที่อยู่ในที่นั่งคนขับ

             เฮลิคอปเตอร์ส่งเสียงดังเมื่อใบพัดเริ่มหมุน ทำให้เหล่าผู้ที่ติดเชื้อได้ยิน

             "เสียงเฮลิคอปเตอร์เรียกพวกมันมาทางเรา" บอมบอกกับต้อมเมื่อเห็นผู้ติดเชื้อกำลังวิ่งออกจากป่ามาทางเฮลิคอปเตอร์

             "รีบไปที่ศาลในป่าตรงนั้น เดี๋ยวจะกลับมารับ" ต้อมตะโกนบอกแป้งให้เธอวิ่งไปที่ชายป่า

             แป้งรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปในป่าทันที ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆบินขึ้นมาจากฟ้าอย่างช้าๆ โดยมีต้อมเป็นคนยิงปืนใส่ผู้ที่ติดเชื้อที่วิ่งมา

              "ไปๆๆๆๆ" ต้อมบอกกับบอมให้เอาเครื่องบินขึ้น

              "ก๊ากกกกกก ก๊ากกกก!!!" เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงร้องของผู้ที่ติดเชื้อที่ไม่สามารถตามเฮลิคอปเตอร์ได้

              แป้งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาที่ท้ายหมู่บ้านตามที่ต้อมบอก เธอเห็นเฮลิคอปเตอร์บินผ่านเธอไปบนฟ้า พร้อมกับผู้ที่ติดเชื้อที่วิ่งตามเสียงเฮลิคอปเตอร์ไปอย่างรวดเร็ว เธอจึงสามารถไปที่ท้ายหมู่บ้านได้อย่างปลอดภัย

              เมื่อมาถึงที่ศาลเจ้าในป่า แป้งก็ได้กลิ่นเหม็นโชยออกมาเป็นอันดับแรก เมื่อเธอเดินไปที่ศาลก็เห็นลูกแก้วลักษณะคล้ายลูกบอลตั้งอยู่ในศาล วินาแรกที่เห็นแป้งไม่คิดว่าสิ่งนี้คืออุกาบาตร แต่ด้วยรูปลักษณ์และทองคำเปลวที่แปะรอบลูกแก้ว จึงทำให้แป้งรู้ว่าสิ่งนี้คืออุกาบาตรอย่างแน่นอน

             "แกไม่มีทางได้มันไปหรอก แค๊ก แค๊ก!!!" แป้งหยิบก้อนหินแถวนั้นมาแทนเพื่อหลอกต้อมว่ามันคืออุกาบาตร

             แป้งรีบวิ่งออกจากศาลทันทีเมื่อหยิบก้อนหินมาได้ เธอวิ่งกลับมาที่จุดเดิมที่เธอเคยอยู่ ซึ่งตอนนี้มีจ้อนที่กลายเป็นผีดิบไปแล้วกำลังยืนรอแป้งอยู่ตรงนั้นพอดี

             "ก๊ากกกกกก!!!" เมื่อจ้อนเห็นแป้งมันก็ร้องออกมาเสียงดัง และตรงเข้าทำร้ายเธอทันที             

              "ไปลงนรกซะเถอะ!!!" แป้งขว้างก้อนหินในมือใส่หน้าจ้อนอย่างแรง จนก้อนหินเจาะหน้าของจ้อนบริเวณดั้งยุบลงไปกับก้อนหิน

              แป้งเดินมาดึงก้อนหินออกจากหน้าของจ้อนโดนใช้เท้ายันหัวของจ้อนก่อนจะดึงก้อนหินออกมาได้

              ไม่นานเฮลิคอปเตอร์แล่นลงมาจอดตรงจุดที่แป้งยืนอยู่พอดี

            "ยืนบื้ออะไรอยู่ ขึ้นมาเร็วเข้า!!!" ต้อมตะโกนเรียกแป้งที่ยืนอยู่ข้างศพของจ้อน

              "ก๊ากกกกกก!!!" จู่ๆแป้งก็ร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับวิ่งเข้ามากัดที่แขนของต้มทันที

              "อะไรว่ะเนี้ย!!! นังบ้า!!! อ๊ากกกก!!!" ต้อมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกกัด เขาชกหน้าของแป้งอย่างแรงจนเนื้อที่แขนของเขาหลุดติดปากของแป้งไปด้วย

             "เอาเครื่องขึ้นๆ!!!" ต้อมตะโกนบอกบอมด้วยความเจ็บปวด

             "ก๊ากกกกก!!!" แป้งที่กลายเป็นผีดิบวิ่งตรงมาที่เฮลิคอปเตอร์

              "ไปตายซะนังบ้า!!!" ต้อมยิงปืนใส่แป้งไปหลายนัดเมื่อเครื่องบินขึ้น

               เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นฟ้าอย่างปลอดภัย

             "บ้าเอ๊ยหมดโอกาสทำเงินพอดี เพราะนังนั่นดันไปติดเชื้อโรคซะก่อน!!!" ต้อมที่ถูกกัดบ่นอุทานออกมาด้วยความเจ็บใจเมื่อไม่ได้ตามที่หวัง

              "แต่ผมว่าตรงข้ามมากกว่า" บอมที่เป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุขุม "คุณไม่แปลกใจหรอกครับ ว่าทำไมจู่ๆคุณแป้งถึงกลายเป็นแบบนั้น ทั้งที่เธอก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านแต่กลับกลายร่าง"

             "ก็เพราะนังนั่นไปรับเชื้อที่อุกาบาตรมานะซิถึงกลายเป็นแบบนั้น!!!" ต้อมเอาผ้ามาพันแขนที่ถูกกัด

             "ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะผู้ป่วยทั้งหมดในหมู่บ้านที่ได้รับเชื้อมา ทุกต่างแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อไปหลายชั่วโมง แต่ในกรณีของคุณแป้ง เธอรับเชื้อในเวลาไม่นานจึงไม่น่าจะเป็นไปได้" บอมพูดโดยไม่หันมามองทางต้อม

              "แกต้องการจะบอกอะไรกันแน่!!!" ต้อมพูดกับบอมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาหงุดหงิดกับอาการปวดที่แขนเป็นอย่างมาก

              "ที่ผมจะบอกก็คือ เธอติดเชื้อเพราะผมเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนั้นเองครับ" บอมกันมามองทางต้อมแล้วยิ้มให้เขา

              "แกว่าอะไรนะ!!!" ต้อมคิ้วขมวดมองมาทางบอมด้วยความตกใจ

               "คณได้ยินถูกแล้วผมเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนั้นเอง โดยการฉีดเลือดของผู้ติดเชื้อให้เธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว เพื่อต้องการพิสูจน์ว่าไวรัสในเลือดจะสามารถแพร่เชื้อได้ไหม ผมจึงต้องทำการทดสอบเดี๋ยวนั้น และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ การติดเชื้อรวดเร็วกว่าการสูดเข้าทางลมหายใจหลายเท่า ซึ่งก็เท่ากับว่าคุณที่ถูกกัดก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผีดิบกว่า90%ถ้าผมคำนวนไม่ผิด" บอมหันมายิ้มให้ต้อมที่กำลังตกใจ

               "แก....!!!" ต้อมเริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง

               "ตอนแรกผมก็คิดแบบเดียวกับคุณเรื่องไปเอาอุกาบาตร แต่โอกาสที่จะติดเชื้อจากสิ่งนั้นมันสูงเกินไปที่จะเสี่ยง ผมจึงต้องทดสอบเรื่องเลือดทันทีเมื่อมีโอกาส" บอมหยิบปืนออกมาจากกางเกงของตน

               "แกมันเลว....!!!" ต้อมอ้วกออกมาอย่างรุนแรงเมื่อพูดจบ

               "เพื่อโลกใบนี้ต้องมีคนที่เสียสละ" บอมพูดจบเขาก็หันยิงกลางแสกหน้าของต้อมทันที

               ต้อมหล่นลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เมื่อถูกยิงตกลงมาในป่า

               "ฮาโหล ใช่นี่ผมเอง ผมบังเอิญเจอมันเข้าพอดี สิ่งที่เราตามหามาตลอดหลายปี เชื้อไวรัสในตำนานที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ บอกท่านผู้นั้นด้วยว่าเลือดที่อยู่กับสาธารณะสุขใช้ทำเชื้อไวรัสได้ ใช่ ทีนี้เราก็จะสามารถสร้างโลกที่มีแต่สีเขียวได้แล้ว มันจะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปสำหรับพวกเรา" บอมพูดยิ้มๆระหว่างโทรศัพท์กับใครบางคน

              "เริ่มแผนขั้นที่2ทันที" ชายที่อยู่อีกฟากนึงของสายโทรศัพท์พูดยิ้มๆอย่างพอใจก่อนจะวางสายโทรศัพท์ลง

              เฮลิคอปเตอร์บินกลับเข้าไปในเมือง ทิ้งหมู่บ้านหนองยายแวงให้กลายเป็นนรกอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมเลยว่าชาวบ้านจะเป็นอย่างไรต่อไป....

                                                              จบ