เรื่องสั้นสยองขวัญ ตอน แรงดึงดูดของเราสองคน


 

คุณเชื่อเรื่องแรงดึงดูดของโชคชะตาไหม ประมาณว่าคนสองคนที่อยู่คนละซีกโลกแต่สุดท้ายก็บังเอิญมาเจอกันได้รักกันสร้างครอบครัวขึ้นมา มันคือแรงดึงดูดที่บางประเทศก็เรียกว่าพรหมลิขิต บางที่ก็เรียกว่าด้ายแดงแห่งโชคชะตาที่นำพาคนสองคนใหม่รักกัน ชั้นเองก็เชื่อเรื่องแบบนั้นมากๆ เพราะชั้นกับเก็นตะซังก็ได้มาเจอกันเพราะแรงดึงดูดแห่งโชคชะตาที่ว่านี้

เรื่องราวมันเริ่มขึ้นในวันที่แสนธรรมดา เมื่อเพื่อนของชั้นชวนให้มาดูนิทรรศการไดโนเสาร์ที่จัดขึ้นในตัวเมือง ชั้นเองก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้หรอกแต่ก็ยังดีกว่าใช้วันหยุดนอนอยู่บ้านหลังจากที่ต้องทำงานมาทั้งอาทิตย์ ชั้นมาถึงงานก่อนเวลาเล็กน้อยและกำลังรอเพื่อนเพื่อจะเข้าไปในงาน แต่มือถือของชั้นก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฮาโหลอายูมิ ขอโทษนะพอดีแมวที่บ้านป่วยเลยต้องพาไปหาหมอ วันนี้คงไปกับเธอไม่ได้แล้วขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นว่าจะเดินเล่นแล้วก็จะกลับ” ชั้นถอนหายใจเบาๆ เมื่อวางสายก่อนจะเดินเข้าไปในงานเพียงคนเดียว

ภายในงานนั้นเต็มไปด้วยซากไดโนเสาร์มากมาย จนชั้นเองที่ไม่สนใจก็อยากรู้ก็อยากเห็นแล้วว่ามันมีอะไรบ้าง ชั้นเดินดูตู้แสดงกระดูกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาที่ตู้โชว์ด้านในที่ในนั้นมีซากกระดูกไดโนเสาร์มากมายมาตายกองรวมกันเป็นจุดเดียว เหมือนที่นี่จะเป็นสุสานหรืออาจจะเป็นแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ เลยทำให้พวกมันพากันมาตายจนเหลือซากกระดูกเอาไว้ ในป้ายเขียนอธิบายเอาไว้อย่างนั้น และในระหว่างที่ชั้นกำลังสนใจอ่านป้านเพลินๆ ตอนนั้นเองมันก็เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างผลักชั้นเบาๆ ให้เซไปที่ด้านข้างที่มีชายคนนึงยืนอยู่จนชั้นชนเขาเบาๆ ทำให้ชายคนนั้นเซเล็กน้อยจนชั้นรู้สึกอาย

 “ขอโทษคะ พอดีชั้นเดินไม่ระวังเอง” ชั้นเซมาชนชายคนหนึ่งซึ่งเขาก็คือเก็นตะซังที่กำลังมองมาทางชั้นด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเป็นผู้ชายที่ดูหล่อในสายตาของชั้นมากๆ

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ขอโทษที่เดินไม่ระวังเหมือนกัน เก็นตะซังขอโทษชั้นด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะเดินจากไป แต่ตอนที่เขาเดินผ่านไปนั้นจู่ๆ ชั้นกับเขาก็เหมือนถูกดูดเข้าหากันด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้หลังเราสองคนกระแทกกันเบาๆ จนต่างคนต่างต้องหันมาขอโทษขอโพยเพราะคิดว่าตัวเองเซไปชนอีกฝ่าย และพอรู้สึกตัวอีกทีมือเราสองคนก็จับกันแบบงงๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันตั้งตัว จนเราสองคนรีบหดมือกลับด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“ขอโทษนะครับที่ทำเสียมารยาท ถ้าคุณไม่รังเกลียดเอาเป็นว่าผมขอเลี้ยงอะไรเป็นการตอบแทนนะครับ” เก็นตะซังพูดสิ่งที่ชั้นคิดในใจ เพราะตอนนั้นถ้าเขาไม่ชวนชั้นก็จะเป็นคนหาเรื่องชวนเอง

เราสองคนมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟข้างนอกที่จัดงาน เก็นตะซังก็ดูเป็นสุภาพบุรุษเขาพยายามเดินห่างจากชั้นพอควร แต่พอรู้สึกตัวกันอีกทีไหล่เราทั้งคู่ก็มาชนกันจนต้อเดินห่างออกมาจนมาถึงร้านกาแฟเราจึงนั่งคุยกัน

“เราสองคนนี่เหมือนมีแรงดึงดูดเข้าหากันเลยนะครับ” เก็นตาซังพูดด้วยท่าทางเขินอาย ขณะที่ชั้นเองก็เขินไม่แพ้เขา “ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกดูดให้เดินมาทางนี้จนมาชนกับคุณ เอ่อลืมแนะนำตัวเลยผมเก็นตะครับ” ชั้นหน้าแดงไปหมดเมื่อเก็นตะซังแนะนำตัว

“ชั้นอายูมิค่ะ” ชั้นเองที่ก็รู้สึกแบบนั้นแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้

“โรแมนติกที่สุดเลยอ่ะแก แล้วไงต่ออยากรู้ๆ” ชั้นเล่าประสบการณ์ความรักให้กับเพื่อนสาวที่อยากรู้ว่าชั้นกับเก็นตะซังเจอกันได้อย่างไร

“หลังจากนั้นเราก็มีแลกเบอร์นะแต่ชั้นก็ไม่กล้าโทรไป ส่วนเก็นตะซังเขาก็มีโทรมานะแต่เจ้าตัวค่อนข้างงานยุ่งเราเลยไม่ค่อยได้คุยอะไร” ชั้นบอกเพื่อนสาวที่รอฟัง
“เรารึก็ลุ้นว่าจะได้กุ๊กกิ๊กเสียอีก” 

“แต่หลังจากนั้นเราสองคนก็บังเอิญเจอกันตลอด ไม่ว่าจะไปต่างประเทศหรือบางทีก็เจอกันในที่ๆ ไม่น่าเจออย่างบ้านนอกบนภูเขาอะไรแบบนั้น จนชั้นยังแอบคิดเลยว่าเก็นตะซังเขาคือคนโรคจิตที่ตามชั้นรึเปล่า ส่วนทางนั้นก็คิดแบบเดียวกัน อย่างตอนที่เราไปทริปบ่อน้ำร้อนที่นาริตะที่นั่นชั้นก็เจอเก็นตะซัง แต่ชั้นคิดว่าเขาคือโรคจิตที่แอบตามเลยไม่กล้าทักหรือบอกแก จนสุดท้ายเราสองคนก็รู้ว่ามันคือเรื่องบังเอิญจริงๆ มีอยู่ครั้งนึงชั้นเห็นเก็นตะซังที่ร้านปาจิโกะชั้นเลยพยายามเดินหนีเขาเพราะกลัวว่าเขาคือโรคจิต แต่พอเดินมาขึ้นรถไฟก็กลายเป็นว่าเราสองคนมานั่งคู่กันซะงั้น” แน่นอนว่าใครที่ได้ยินเรื่องของเราสองคนก็ต้องอิจฉาด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ชั้นเองยังแอบอิจฉาตัวเองที่เป็นอย่างนี้เลย

“แบบนี้เขาเรียกว่าโชคชะตากำหนดให้เจอกัน อิจฉาคู่แกสองคนมากๆ” เพื่อนสาวบอกกับชั้น

หลังจากนั้นเราสองคนก็ตกลงใจคบกันเป็นแฟนหลังจากที่ฝืนทนโชคชะตาไม่ไหว เพราะยิ่งเราเจอกันเราสองคนก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรเหมือนกัน และนอกจากสิ่งที่เรียกว่าการพบเจอของโชคชะตาแล้ว เรายังมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความคิดความรู้สึกไปจนถึงความชอบที่ชั้นกับเก็นตะซังชอบไปเที่ยวป่า พอคบกันเราจึงไปเที่ยวป่าด้วยกันตลอด

“พร้อมนะอายูมิ” เก็นตะซังบอกกับชั้นเพราะคราวนี้เราจะไปเที่ยวป่าที่ต่างกับที่อื่น เพราะมันเป็นป่าที่ตกสำรวจยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา เราสองคนจึงตกลงใจกันว่าจะไปนอนค้างแรมในป่านั้นกันสองคนเพื่อดูดาว แล้วก็พูดคุยอนาคตกันสองคนว่าจะทำอะไรอย่างไรต่อไป มันคงจะเป็นทริปที่โรแมนติกสุดๆ ในความคิดของชั้นแต่ความฝันนั้นก็ต้องพังทลายลงเพราะพายุฝนบ้าบอที่จู่ๆ ก็พัดกระหน่ำมาจนเราเก็บของไม่ทันตั้งตัว

“รีบกลับไปที่รถกันเถอะอยู่ที่โล่งแบบนี้มันอันตราย” เก็นตะซังตะโกนบอกชั้นเมื่อไม่สามารถเก็บเต็นท์ที่ปลิวไปได้ เราทั้งคู่เก็บสำภาระเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าและรีบวิ่งไปที่รถทันที

และตอนนั้นเองก็มีเสียงฟ้าฝ่าลงมาตรงจุดที่เราสองคนอยู่แบบไม่ทันตั้งตัว สิ่งสุดท้ายที่ชั้นเห็นคือแสงจ้าจนแสบตาก่อนจะสลบไป

“ฟื้นแล้วหรออายูมิ” คุณแม่ดีใจที่ได้เห็นชั้นลืมตา ท่านบอกชั้นกับเก็นตะซังถูกฟ้าฝ่าลงมา แต่โชคดีที่ชั้นกับเก็นตะซังไม่เป็นอะไร เราสองคนเป็นคู่แรกในโลกที่ถูกฟ้าฝ่าลงมาแล้วไม่เป็นอะไร  ชั้นพักรักษาตัวอยู่หลายวันโดยที่ไม่ได้เจอเก็นตะซังเลย แต่เราก็โทรศัพท์หากันตลอด ซึ่งทางเก็นตะซังก็ดูแข็งแรงดี เพราะหมอเองก็แปลกใจที่เราสองคนรอดมาได้ยังไงทั้งที่โดนฟ้าฝ่าไปขนาดนั้น จนเมื่อตรวจตรวจร่างกายของเราสองคนเกินพอเราทั้งคู่จึงกลับบ้านได้

เมื่อออกจากโรงพยาบาลรุ่งขึ้นชั้นกับเก็นตะซังก็นัดเจอกันทันที ก็คนมันไม่ได้เจอกันต้องคิดถึงกันอยู่แล้วนี่นา

“เก็นตะซัง” ชั้นกับเก็นตะซังโบกมือเรียกเขาที่หน้าสถานีรถไฟ ซึ่งพอเก็นตะซังวิ่งมาไม่ทันจะถึงชั้นจู่ๆ ชั้นก็เหมือนถูกผลักเบาๆ จนล้มลงก้นกระแทกพื้น
“เป็นอะไรไม๊” เก็นตะซังมาพยุงชั้น

“ไม่เป็นไร เราไปหาอะไรกันกันเถอะ” ชั้นชวนเก็นตะไปหาอะไรกิน แต่ระหว่างเดินจากที่เราสองคนแทบจะถูกดูดให้ตัวติดกัน แต่คราวนี้จู่ๆ เราสองคนยิ่งเดินยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ

“แกทางนั้นหมดโปรรึเปล่า แบบไปเจอคนอื่นเลยพยายามจะเลี่ยงเดินห่างๆ แกอะไรแบบนั้น” เพื่อนสาวออกความเห็น

“ตอนแรกชั้นก็คิดแบบนั้นนะ แต่พอเจอกันหรือถ้าฝ่ายหนึ่งขยับเร็วๆ จะเหมือนมีแรงอะไรบางอย่างมาผลักเราสองคนให้ห่างกันจน แกเชื่อไม๊ว่าชั้นหกล้มก้นกระแทกพื้นไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ตอนนั้น จนชั้นคิดว่าเป็นเพราะฟ้าฝ่าจนสมองมีปัญหารึเปล่า แต่พอไปตรวจทั้งคู่ก็ปกติจนชั้นเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร” ชั้นบอกเพื่อนสาว

ตกเย็นเก็นตะซังก็มารับชั้นที่ทำงาน เราสองคนพยายามเดินไม่ให้เซล้มและพยายามจับมือเก็นตะซังหรือทางนั้นจะมาจับ ก็จะเหมือนมีแรงบางอย่างผลักเราสองคนออกไป แต่เมื่อเราสองคนไม่ยอมแพ้ก็ไปสามารถจับมือกันได้ ซึ่งตอนแรกมันก็โอเคนะไม่มีปัญหาอะไร แต่นานวันเข้าแรงผลักที่มีก็มากขึ้น

มือเราสองคนสั่นเหมือนอีกฝ่ายพยายามจะปล่อยมือ จนชั้นมองมาทางเก็นตะซังที่ก็มองมาทางชั้นด้วยสายตาที่งุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน ทั้งที่เมื่อก่อนเหมือนจะมีด้ายแดงแรงดึงดูดให้เรามาเจอกัน แต่คราวนี้มันกลับพยายามผลักกันทั้งที่เราทั้งสองคนก็ยังรักกันไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนใจหรือมีคนอื่น และตอนนั้นเองจู่ๆ ก็เหมือนมีแรงผลักบางอย่างดีดตัวชั้นให้กระเด็นไปบนถนนที่มีรถบรรทุกกำลังวิ่งอยู่พอดี

 “อายูมิ” เก็นตะที่จะวิ่งมาช่วยชั้นที่กำลังถูกรถชน แต่ตอนนั้นเองชั้นกลับถูกแรงผลักบางอย่างที่น่าจะมาจากเก็นตะซังผลักจนกระเด็นข้ามมาอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัยอย่างน่าประหลาด

หลังจากนั้นเราสองคนก็ไปปรึกษาหมอเกี่ยวกับแรงผลักที่มันค่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เราสองคนแทบอยู่ใกล้กันไม่ได้ไปแล้ว เหมือนแม่เหล็กที่ขั้วเดียวกันจะผลักกัน  จนเราสองคนต้องโทรศัพท์คุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งเราอยู่ห่างกันก็ยิ่งคิดถึงกัน

“หรือจะเป็นเพราะฟ้าที่ฝ่าลงมาตอนนั้นที่สลับขั้วเราสองคน มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะมีเหตุผลไปมากกว่านี้แล้ว” เก็นตะซังออกความเห็น “ผมคิดถึงคุณอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ แต่ยิ่งผมอยากอยู่กับคุณมากเท่าไหร่แรงผลักมันยิ่งมากขึ้น”

“ชั้นเองก็รู้สึกแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นเรามาทำมันอีกครั้งดีไหม” ชั้นออกความเห็น

เมื่อตกลงกันได้เราสองคนได้กลับไปยังจุดที่เคยถูกฟ้าฝ่าและพักอยู่แถวนั้นนานเป็นเดือน โดยที่ทำได้แค่โทรศัพท์พูดคุย เพื่อรอให้มีฝนตกและฟ้าฝ่าแบบที่เคยเกิดขึ้นวันนั้น จนวันนั้นก็มาถึงวันที่ฟ้าจะฝ่าลงมาตามที่เราต้องการ

“ฟ้าฝ่ามาแล้วเราไปกันเถอะอายูมิจัง” เก็นตะซังพูดด้วยความดีใจ

“แต่เราสองคนอยู่คนละที่แบบนี้จะถูกฟ้าฝ่าพร้อมกันได้อย่างไง” ชั้นถามสิ่งที่ตนเองสงสัยตั้งแต่มาที่นี่แล้ว ซึ่งเก็นตะก็ไม่บอกจนถึงตอนนี้

“ไม่ต้องห่วงผมไปศึกษามาแล้วว่าถ้าคนนึงโดนฟ้าฝ่าคนนั้นจะต้องโดนสลับขั้วแน่ๆ ทีนี้เราสองคนจึงยืนลุ้นว่าใครจะโดนฟ้าฝ่า และถ้าเรารอดไปได้เราก็จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง” เก็นตะซังบอกกับชั้น

แม้จะกลัวการโดนฟ้าฝ่าแต่การอยู่โดยเข้าใกล้เก็นตะซังไม่ได้มันคือนรกที่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น เมื่อคิดแบบนั้นเราทั้งคู่จึงยอมเสี่ยงโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จไหม

เราสองคนยืนอยู่กลางทุ่งที่มีฟ้าฝ่าลงมา สายตาของเราสองคนจับจ้องกันในความมืดแม้จะอยู่ไกลกันแต่เราก็รู้สึกถึงกันได้ตลอดเวลา

และตอนนั้นเอง เปรี้ยง เสียงฟ้าฝ่าลงมาตรงจุดที่เก็นตะซังอยู่เต็มๆ เหมือนเมื่อตอนนั้น ซึ่งชั้นที่อยู่ในระยะก็โดนลูกหลงจนสลบไปด้วย

“อายูมิ อายูมิ” เสียงแม่ชั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของแม่ดูไม่ค่อยจะยินดีเมื่อเห็นชั้นตื่นขึ้นมาเหมือนคราวก่อน ละครั้งนี้ชั้นรู้สึกหนักๆ ที่ตัวและได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลอดเวลา จนชั้นต้องจับผมตัวเองว่าไหม้ไฟรึเปล่า แต่แล้วชั้นก็เจอต้นตอของกลิ่นเหม็นไหม้ เพราะมันมาจากร่างที่ดำเป็นตอตะโกของใครบางคนที่นอนข้างๆ ชั้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเอาศพมานอนข้างๆ หนูละแม่” ชั้นถามแม่ด้วยความตกใจ

“แม่เองก็ไม่รู้ พอมาถึงโรงพยาบาลร่างลูกกับเก็นตะก็ตัวติดกันจนหมอเอาไม่ออก ไม่ว่าจะดึงอย่างไรสุดท้ายเก็นตะก็จะลอยมาติดกับลูกทุกครั้ง” แม่พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ

ขณะที่ชั้นมองร่างของเก็นตะซังที่ตอนนี้กลายเป็นศพไหม้เป็นตอตะโกติดที่ร่างของชั้น ใบหน้าของเก็นตะซังดูน่ากลัวมากๆ จนชั้นหมดสติไปหลายครั้ง และไม่ว่าหมอจะพยายามแกะร่างของเก็นตะซังเท่าไรก็ตาม ไม่นานร่างนั้นก็จะลอยมาติดกับชั้นที่นอนอยู่ แม้แต่ตอนที่ฝังอยู่ในหลุมหรือเข้าเตาเผา ชิ้นส่วนของเก็นตะซังก็ยังลอยมาติดตัวชั้น เหมือนแม่เหล็กที่ถูกเปลี่ยนขั้วจะแรงมากขึ้น และตอนนี้เศษเนื้อของเก็นตะซังก็เริ่มซึมเข้ามาในร่างจนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับชั้นไปแล้ว.....

เรื่องสั้นสยองขวัญตอน ต้นไม้แขวนคอ

 


คุณเชื่อเรื่องการชวนมาตายในที่เดียวกันไม๊ ผมหมายถึงการที่สถานที่ตรงไหนสักแห่งก็ได้ ซึ่งที่ตรงนี้เคยมีคนตายมาก่อน พอเวลาผ่านไปก็จะมีคนมาตายตรงนี้ที่เดิมจุดเดิมเหมือนตั้งใจมาตายที่เดียวกัน ที่แบบนี้เขาเรียกว่าจุดมรณะหรือทางผีผ่านไม่ก็ประตูนรก ซึ่งส่วนมากจะเกิดกับถนนที่เรียกว่าโค้งร้อยศพหรือบ้านที่เคยมีคนตายมาก่อน พอมีคนเข้าไปอยู่ก็จะตายตามหรือเจอเรื่องแปลกๆ อย่างบ้านผีสิงอมิตี้วิลล์ของอเมริกา ที่แบบนั้นมักจะเป็นจุดสูญรวมของวิญญาณหรือตัวตายตัวแทน  ซึ่งผมผู้ที่พยายามพิสูจน์เรื่องลี้ลับมานานก็พยายามหาคำตอบของเรื่องนี้ และทุกครั้งผมก็ได้คำตอบกลับมาว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องผีปีศาจฆ่าคนเลย เช่นโค้งร้อยศพที่มันคือความผิดพลาดของการสร้างถนนที่ทำเป็นทางโค้ง บวกกับพื้นของถนนที่ไม่เรียบหรืออาจจะทำออกมาได้ไม่ดีทำให้ถนนลื่น จนสุดท้ายรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วหรือคนที่ไม่ชินกับเส้นทางจึงมาเกิดอุบัติเหตุ หรือแม้แต่บ้านที่มีคนตายและเจอเรื่องแปลกๆ ส่วนมากก็เป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าพอไปอยู่จริงๆ ก็ไม่เคยเจออะไรเลย ผมหยุดอัดเสียงตัวเองด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เมื่อคาเอกะจังแฟนสาวของผมมาเคาะกระเจารถและโชว์พวงกุญแจตุ๊กตาหมีที่ได้จากตู้กาชาปองที่หยอดมาได้ให้ผมดู

“เดี๋ยวซิคาเอกะ เราตกลงกันแล้วว่าถ้าผมกำลังอัดเสียงอยู่คุณจะไม่มารบกวน งานวิทยานิพนธ์ของผมเรื่องนี้สำคัญมากๆ เลยนะ เราจะทำเป็นเล่นๆ เหมือนคู่แฟนมาขับรถเล่นไม่ได้หรอกนะ” ผมดุแฟนสาวขณะที่เธอทำหน้าเสียใจก่อนที่เธอจะแลบลิ้นใส่ผม และเดินอ้อมมาเปิดประตูเข้ามาในรถ

“รู้แบบนี้ไม่มาด้วยก็ดี ไอ้เราก็เห็นว่าจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับโคเฮคุงทั้งที ที่ไหนได้ต้องมานอนที่โรงแรมผีสิงเอย บ้านร้างเอย ไหนต้องมานั่งตบยุงที่โค้งมรณะอีก” คาเอกะบ่นดังๆ เธอมักจะมีนิสัยเป็นเด็กแบบนี้เสมอ ซึ่งนั่นก็คือสิ่งดีๆ ที่ทำให้ผมชอบในตัวเธอ

“โอเคเอาแบบนี้นะเราจะไปที่สุดท้ายกัน พอหาข้อมูลจนสามารถรู้ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไรคนถึงมาตายที่นี่เยอะ ได้ข้อมูลพอแล้วเราก็จะกลับบ้านกัน” ผมที่ทนการบ่นของคาเอกะไม่ไหวจึงตัดบทแบบนี้ออกไป ส่วนคาเอกะยิ้มอย่างพอใจ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็เริ่มเบื่อกับการเดินทางแบบนี้แล้วเหมือนกัน

“แล้วที่สุดท้ายคือที่ไหนหรอ” คาเอกะถามผม

“อืมน่าจะเป็นที่หมู่บ้านฮิกาชินารุเสะ” ผมดู GPS ในมือถือ “ที่นั่นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีตำนานต้นไม้แขวนคอตายอยู่ เขาว่ากันว่ามีคนต่างพื้นที่มาแอบแขวนคอตายเป็นประจำ เหมือนป่าอาโอกิกาฮาระเชิงภูเขาฟูจิ แต่ที่นี่ไม่ใช่ทั้งป่าแต่เป็นต้นไม้ต้นเดียวที่มักจะมีคนปีนไปแขวนคอตาย” ผมเล่าตำนานที่บังเอิญได้ยินมาจากคุณปู่ และด้วยสถานที่นี้อยู่ไกลที่สุดผมจึงเลือกมาเป็นที่สุดท้ายของการเดินทาง

“ป่านี้แล้วต้นไม้นั่นจะอยู่หรอ ถ้ามีคนไปตายเยอะขนาดนั้นก็ควรจะตัดทิ้งไปดีกว่า” คาเอกะถามผมระหว่างที่กำลังขับรถไป

“เท่าที่รู้คุณปู่บอกว่านั่นเป็นต้นไม้เก่าแก่มีอายุเป็นร้อยปีแล้วคงไม่มีใครไปตัดหรอก” ผมอธิบายพร้อมกับขับรถตาม GPS ไปจนมาถึงหมู่บ้านดังกล่าว ที่ทางเข้าก็เป็นเพียงทางเล็กๆ ที่แยกมาจากถนนใหญ่ที่ถ้าไม่ตาม GPS มาหรืองมแผนที่คงจะต้องมีหลงแน่นอน เราสองคนขับรถบนถนนที่สองข้างทางเป็นป่ารถ จนเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ยืนเด่นไกลออกไปอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เราได้มาถูกทางแล้ว

“เอ๋ มันดูแปลกๆ นะ” คาเอกะพูดขึ้นมาซึ่งผมก็สังเกตเห็นเหมือนกัน นั่นคือซากรถที่จอดทิ้งไว้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นทั้งรถเก่าและใหม่จอดทิ้งไว้ตามทางประปลายด้วยความสงสัย จนเรามาถึงที่หมู่บ้านก็มีชายแก่หัวล้านยืนต้อนรับเราอยู่ เหมือนกับรู้ว่าเราสองคนจะมา

“หมู่บ้านแขวนคอยินดีต้อนรับคุณนักเดินทาง” ชายแก่บอกกับเราสองคนด้วยรอยยิ้มเมื่อลงจากรถ

“ชื่อเป็นมงคลเชียว” คาเอกะกระซิบพูดเล่นกับผม ก่อนจะเดินตามชายแก่เข้าไปยังโรงแรมเล็กๆ เพียงแห่งเดียวของที่นี่  ซึ่งระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปนั้นสายตาของผมก็เห็นต้นไม้ต้นนั้นอยู่ไกลๆ ที่ดูจากตรงนี้มันคือต้นไม้ที่เหมือนเสาสีดำขนาดใหญ่มีใบและกิ่งที่ด้านบนสุดเท่านั้น

“อย่าไปจ้องมองมันจะดีกว่านะครับคุณ เดี๋ยวจะถูกมนต์สะกดให้ไปแขวนคอตายเอา” ชายแก่บอกกับผมจนผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว

“คงแบบเดียวกับมนต์สื่อรักจากชั้นที่ทำให้โคเฮคุงมาหลงนั่นละ” คาเอกะพูดหยอกผม เมื่อเก็บของในห้องและเช็คอิน ผมก็เริ่มหาข้อมูลโดยเริ่มจากคนในหมู่บ้านที่เกือบทั้งหมดจะเป็นคนสูงอายุ

“ต้นไม้แห่งนี้ท่านโชกุนได้ปลูกเอาไว้ตอนมาเที่ยวที่นี่ พอต้นไม้เริ่มโตก็มีหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่มาเที่ยวเล่นแถวนั้นแล้วก็มาแขวนคอตาย” ลุงคนที่พาเรามาที่โรงแรมเล่าเรื่องราวให้เราทั้งคู่ฟัง “ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกก็คือทุกครั้งที่มีคนมาแขวนคอตายต้นไม้ก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันสูงจนสามารถเห็นได้จากนอกหมู่บ้าน แต่ก็มีคนพยายามปีนขึ้นไปจนไปแขวนคอได้ตลอด ทั้งที่ทางตำรวจนายอำเภอก็จัดคนมาดูแลสุดท้ายก็ยังมีคนมาตาย รถที่พวกคุณเห็นก็เป็นรถของคนที่มาตายที่นี่” ผมขนหัวลุกขึ้นมาทันที “เขาว่ากันว่าตรงจุดนั้นคือทางผ่านของประตูนรก ที่ปีศาจพยายามจะหาทางขึ้นไปบนสวรรค์ มันเลยพยายามหลอกล่อคนให้มาตายมากๆ เพื่อสังเวยวิญญาณ”

“แล้วถ้าปีศาจขึ้นไปถึงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรอคะ” คาเอกะถามลุงแกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

“ถ้าปีศาจขึ้นไปถึงสวรรค์ได้พวกมันก็จะเจาะรูให้พวกเทวดาตกลงมา หลังจากนั้นพวกมันก็จะจับมนุษย์มากิน เพราะไม่มีเหล่าเทวดามาคุ้มครองมนุษย์แล้ว” ลุงเจ้าของโรงแรมบอกกับคาเอกะจนเธอต้องมาแอบข้างหลังผม

“เป็นตำนานที่น่ากลัวมากๆ เลยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปสำรวจและหาคำตอบให้เองครับ ว่าทำไมถึงมีคนมาผูกคอตายที่นี่ ผมกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องพวกนี้อยู่” ผมบอกกับคุณลุงก่อนที่จะไปแช่น้ำพุร้อนและเข้านอนในห้องกับคาเอกะ ซึ่งตัวผมที่ได้ฟังตำนานแบบนี้มาเป็นร้อยๆ เรื่องจึงไม่รู้สึกอะไร เพราะตำนานพวกนี้คือสิ่งที่แต่งขึ้นมาเพื่อผูกเรื่องราวให้น่าสนใจ ซึ่งทั้งหมดไม่เป็นเรื่องจริงเลย แต่คาเอกะกลับมีท่าทางหวดกลัวไม่ร่าเริงเหมือนทุกที

คืนนั้นผมนอนหลับเพราะขับรถมาเป็นเวลานานซึ่งคาเอกะก็เช่นกัน คืนนั้นผมฝันเห็นขบวนพิธีของโชกุนกำลังปลูกต้นไม้ แววตาของโชกุนนั้นแดงเหมือนเลือดและหันมายิ้มให้ผมเหมือนปีศาจที่สิงร่างเขาอยู่จนผมตกใจตื่นขึ้นมา จนรุ่งเช้าผมก็ไปสำรวจที่ต้นไม้นั้นพร้อมกับคาเอกะ

“โห้ดูซิต้นไม้ใหญ่มากๆ เลย น่าจะหลายคนโอบเลยนะเนี้ย” ผมสำรวจต้นไม้ทรงกลมเหมือนเสาขนาดใหญ่เพื่อหาจุดที่คนจะปืนขึ้นไป แต่ไม่ว่าจะดูหรือพยายามปีนอย่างไรผมก็ไม่สามารถปีนหรือเกาะต้นได้นี้ได้  ขณะที่คาเอกะที่ยืนเหม่อก็เห็นอะไรบางอย่างบนนั้น ก่อนที่เธอจะกรี๊ดออกมาเสียงดังเมื่อเห็นผู้ชายร่างอ้วนถูกแขวนคอห้อยอยู่บนยอดต้นไม้

“เป็นไปไม่ได้” ผมตะลึงจนพูดไม่ออก ชายร่างอ้วนที่น้ำหนักน่าจะเกือบ 100 กิโลสามารถปีนต้นไม้ที่แทบไม่มีจุดยึดซึ่งสูงเท่ากับตึกสิบชั้นได้อย่างไร

เมื่อตำรวจมาถึงเราก็ทราบว่าชายร่างอ้วนคนนี้คือคนที่แอบมาที่นี่ตอนกลางคืน โดยที่คนในหมู่บ้านก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ผมทั้งอึ้งและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเริ่มสนใจที่จะตรวจสอบอย่างจริงจัง ผมเอาดินและเอาเศษเนื้อไม้ไปให้ห้องแล็บที่มหาลัยตรวจสอบ และนอกนี้ผมก็ยังตรวจสอบวัดความสูงของต้นไม้นี้ ที่เริ่มจากความสูงหลังจากที่ชายร่างอ้วนมาตาย ซึ่งหลังจากนั้นก็มีคนมาแอบแขวนคอตายอีกเรื่อยๆ ที่แม้ผมจะพยายามตั้งกล้องหรือแอบดูเองแถวนั้นก็กลับไม่เห็นอะไรเลย แต่พอมารู้สึกตัวก็มีคนมาตายแล้วและต้นไม้ก็สูงขึ้นจริงๆ มันสูงขึ้นจนมองด้วยตาเปล่ายังรู้

“โดเฮคุงเรากลับกันเถอะ เราอยู่ที่นี่มาเดือนนึงแล้วนะ จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับต้นไม้นี่เลย  ไหนจะเอาดินเอาเปลือกไปตรวจสอบแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร ชั้นว่าที่นี่น่าจะเป็นของจริง” คาเอกะบอกกับผมที่ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องต้นไม้พร้อมคำถามมากมาย ซึ่งตอนนี้ต้นไม้นั้นก็สูงจนสุดลูกหูลูกตา เพราะมีคนมาตายอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์นึงตกราวๆ 3 คนโดยประมาณ ซึ่งก็แปลกที่ไม่มีคนนอกทราบเรื่องนี้หรือมีใครมาทำข่าวเลย ซึ่งผู้ใหญ่บ้านบอกว่ามีคนมาตั้งกล้องทดสอบแบบคุณสุดท้ายก็แขวนคอตายมาก็เลิกตรวจสอบจนหมด คนที่รอดไปก็คิดว่าเป็นคำสาปเลยไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ ผมที่ไม่เชื่อก็พยายามบันทึกภาพของคนที่จะปืนต้นไม้เพื่อไปแขวนคอตาย แต่ก็ไม่สามารถถ่ายติดได้เลย ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าผมไม่ได้อะไรเลยกับกับงานนี้

ผมกับคาเอกะเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยขึ้นหลังจากอยู่ที่นี่มานาน และครั้งนี้ผมก็เผลอทำร้ายเธอจนคาเอกะขับรถหนีออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งผมที่ไม่มีรถหรือต่อให้มีก็ไม่คิดจะไปตามเธอจึงปล่อยเธอไป

คาเอกะหายไปอยู่หลายวันจนวันนึงเธอก็กลับมาพร้อมกับคนงานเลื่อยยนต์และรถไถ เพื่อมาทำลายต้นไม้ต้นนี้ ขณะที่คนแก่ในหมู่บ้านต่างก็พยายามห้ามปรามแต่ก็ถูกตำรวจที่เห็นด้วยกับการโค่นต้นไม่ทิ้งมาขวาง

“อย่าทำนะ” ผมที่เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เห็นด้วยก็ร้องตะโกนออกมา ก่อนที่ตอนนั้นเองคนงานกับตำรวจรวมถึงคาเอกะก็เหมือนถูกสะกดจิต ทุกคนยืนนิ่งและเงยหน้ามองไปยังต้นไม้ ก่อนที่ทุกคนจะเดินไปที่โคนต้นท่ามกลางความตกใจของทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งผมด้วย ตอนนั้นเองก็มีเชือกพร้อมบ่วงลงมาจากต้นไม้ เพื่อรัดคอทุกคน และดึงร่างเหล่านั้นรวมถึงคาเอกะไปแขวนบนนั้นเป็นสิบๆ ศพ ท่ามกลางสายตาของคนในหมู่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเองต้นไม้ก็มีความสูงอย่างรวดเร็วเพราะได้คนไปหลายสิบศพห้อยอยู่ จนตอนนี้ต้นไม้ก็สูงขึ้นจนมันทะลุขึ้นไปบนก้อนเมฆ จนเกิดเป็นรูสีแดงขนาดใหญ่แผ่กว้างออกมาบนท้องฟ้า พร้อมกับสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายนกขนาดใหญ่กำลังตกลงมาจากรู้นั้น

ตุบ...ร่างนกขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้าตรงหน้าผม มันคือร่างของผู้หญิงที่มีปีกเหมือนนก แต่ปีกนั้นเป็นสีดำ และร่างของคนที่มีปีกนั้นก็คอหักตายเมื่อตกลงมาบนพื้น ซึ่งท้องฟ้าสีแดงที่เกิดจากต้นไม้ก็แพร่ไปทั่ว จนปกคลุมทั่วท้องฟ้าพร้อมกับร่างของคนมีปีกที่ตกลงมาอย่างกับฝน หรือคำทำนายเกี่ยวกับปีศาจจะเป็นจริง ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่เทวดาตายหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของปีศาจที่จะลงมาบนโลกเพื่อจับมนุษย์กิน โดยมีผมและคนในหมู่บ้านเป็นพยานในหายนะครั้งนี้..... จบ


ย้งยี้สาวน้อยยอดนักสืบ ตอนพิเศษ คดีฆาตกรรรมโรงงานซีดีมรณะ



 เช้าอันสดใสของวันใหม่ เสียงนกร้องที่หน้าต่างพร้อมแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังห้องนอนขนาดเล็กบนชั้นสองของบ้าน ผ่านทางผ้าม่านสีม่วงลายดอกกุหลาบจางๆ กับร่างของเด็กหญิงวัย 13 ปีกำลังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่อที่แสนอบอุ่น

“ย้งยี้ตื่นได้แล้วลูก” เสียงหญิงสาววัยสามสิบปลายเดินมาปลุกเด็กหญิงที่กำลังนอนหลับใต้ผ้าห่มสีฟ้าลายแมวน้อย

“เราตกลงกันแล้วนี่นาว่าวันหยุดหนูจะนอนตื่นสายได้ตามที่ต้องการ” เสียงเด็กน้อยอ้อนแม่ของตนใต้ผ้าห่ม

“แล้วลูกไม่คิดบ้างหรอว่าที่แม่มาปลุกทั้งที่เราตกลงกันแล้วเพราะอะไร” แม่ของเด็กน้อยพูดเสียงดุใส่ลูกสาว” ดีแม่จะได้บอกลูกปลาน้อยกับฟ้าว่าลูกไม่ตื่นมารับสาย”

ไม่ทันสิ้นเสียงพูดของแม่ ย้งยี้ก็รีบลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งตรงไปที่โทรศัพท์บ้านที่อยู่ด้านล่างทันที

“ฮาโหล! รอนานไหม” ย้งยี้สาวน้อยผมสั้นเลยไหล่ที่สวมแว่นตาสีชมพูดวงตาของเธอนั้นมีสองสีนั่นคือสีน้ำตาลที่ตาซ้ายและสีเขียวที่ตาขวา พูดด้วยน้ำเสียงสดใสเมื่อรับสายโทรศัพท์จากเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัด

“แกเพิ่งตื่นละซิยัยสี่ตา” เสียงเด็กสาวผมสั้นชื่อลูกปลาน้อยที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นมา

“ก็วันหยุดนี่นาใครๆ ก็อยากนอนทั้งนั้น” ย้งยี้บ่นเบาๆ “ไม่มีใครเขาชอบการตื่นเช้าแบบแกหรอกยัยเตี้ย” ย้งยี้บ่นกลับ

“เห็นด้วยเอาไปสิบคะแนนเลยแก” เสียงเด็กสาวผมยาวหางม้าที่ชื่อฟ้าดังขึ้นมา ทั้งคู่แนบหูโทรศัพท์ด้วยกันระหว่างคุย

“เออ เข้าขากันไปเถอะ ชิ” ลูกปลาน้อยบ่น

ระหว่างที่ย้งยี้กำลังคุยโทรศัพท์ก็มีชายแก่หน้าบึ้งตึ่งท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามาในบ้าน ซึ่งย้งยี้ก็รู้จักชายแก่เป็นอย่างดีเธอจึงยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม

“นี่ นี่ แกฉันมีข่าวดีจะบอก ตอนนี้ที่บ้านฉันจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้แล้ว คราวนี้เราจะได้ติดต่อกันง่ายๆ หน่อย” ลูกปลาน้อยพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

“ดีเลยเราจะได้โทรคุยกันได้” ย้งยี้พูดด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนจะเสียงเบาลงเพราะชายแก่มองมาทางเธอ “แต่ของฉันแม่ยังไม่ยอมซื้อให้บอกว่าให้โตกว่านี้ก่อน แต่ทางแกกับฟ้ามีแล้วเดี๋ยวฉันจะลองขอดูบ้าง เออแค่นี้ก่อนนะพอดีมีแขก ได้ๆ บาย” ย้งยี้พูดจบก็วางสายก่อนจะยิ้มน้อยๆ เป็นมารยาทก่อนจะเดินสวนกับแม่ที่เอาน้ำมาให้ชายแก่

“หนูย้งอย่าเพิ่งไปมานั่งคุยกับลุงก่อน” ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับย้งยี้

“แต่หนูแต่งตัวไม่เรียบร้อย” ย้งยี้ในชุดนอนกางเกงขายาวสีชมพูลายหมีน้อย แถมผมยังฟูชี้ไปมาพูดยิ้มๆ กับชายแก่

“ไม่เป็นไรเราคนกันเอง” ชายแก่พูดจบก็หยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาจากกระเป๋า “แล้วธุระของลุงก็เกี่ยวกับหนูนั่นละ” เขาเปิดวิดีโอที่อัดเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ก่อนจะหันจอมาทางย้งยี้กับแม่ของเธอที่นั่งตรงข้ามดู

“วิดีโออะไรหรอคะพี่อั้ง” แม่ของย้งยี้ถามชายแก่

“ดูเอาเองเถอะ” ชายแก่พูดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะเล่นวิดีโอที่เป็นหน้าของชายวัยสามสิบปลายๆ ซึ่งก็คือพ่อของย้งยี้นั่นเอง

“ไงลูก ไม่ได้เจอกันนานเลย ลูกก็รู้ว่าช่วงนี้พ่องานยุ่งทำได้แค่ฝากไฟล์วิดีโอมา” ย้งยี้ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นพ่อที่ไม่ได้ติดต่อมานานในวิดีโอ “เหนื่อยหน่อยนะคุณ” ชายหนุ่มในวิดีโอพูดกับแม่ของย้งยี้ด้วยรอยยิ้ม “เอาละหมดเวลาทักทายคิดถึงกันแล้ว” พ่อของย้งยี้เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นหน้าที่จริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงเข่มขรึม “พ่อมีข่าวร้ายจะบอก ลูกกับแม่ต้องตั้งสติให้ดีนะมันคือเรื่องสำคัญมากๆ และอย่างเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

ย้งยี้พยักหน้ากลืนน้ำลายก้อนโตลงคอเพื่อรับคำ ขณะที่แม่ของย้งยี้กุมมือลูกสาวจนแน่นคิ้วขมวดไม่แพ้ลูกสาว

“เรื่องสำคัญที่ว่าก็คือ ตอนนี้พ่อกำลังสืบเรื่องของกลุ่มชายชุดดำที่มีชื่อรหัสเป็นเหล้าชนิดต่างๆ พวกมันเป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีสาขาไปทั่วโลก และตอนนี้มันก็มาอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาหากล้องด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกกับแม่จะปลอดภัยพ่อให้สัญญา และถ้าลูกได้เห็นวิดีโอนี้แปลว่าพ่อคงจะไม่อยู่หรือเป็นอะไรไปแล้วก็ได้” ทั้งสองแม่ลูกเอามือปิดปากด้วยความตกใจ “แต่ไม่ต้องห่วงพ่อได้มีแผนสองเอาไว้” ชายหนุ่มในวิดีโอพูดจบชายแก่ก็หยิบกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นมา

“อะไรคะ? ” ย้งยี้ถามชายแก่แต่เขาไม่ตอบ

“เปิดดูซิลูก” เสียงพ่อของย้งยี้บอกกับลูกสาว

เมื่อย้งยี้เปิดออกเธอก็มีสีหน้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า

“ลูกจงใช้สิ่งนี้แปลงร่างและปกป้องโลกใบนี้จากเหล่าชายชุดดำนะลูก” เสียงของพ่อย้งยี้บอกกับลูกสาวระหว่างที่ย้งยี้หยิบเข็มขัดแปลงร่างในการ์ตูนขึ้นมา

“ได้ค่ะพ่อหนูจะปกป้องโลกใบนี้เอง....มันใช่ที่ไหนกัน! มุกตลกห้าบาทสิบบาทแบบนี้ก็ยังเล่นนะตาแก่บ้าการ์ตูน! “ย้งยี้ตะโกนใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่ถึงแม้ทางนั้นจะเป็นวิดีโอที่อัดไว้ล่วงหน้า แต่พ่อของย้งยี้ก็มทีท่าตกใจเมื่อคิดแล้วว่าลูกสาวของตนต้องโมโหขนาดไหนที่เล่นมุกแบบนี้

“พี่ก็เล่นกับหมอนั่นด้วยนะ” แม่ของย้งยี้ดุชายแก่

“ก็มันน่าสนุกดี” ชายแก่เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นคุณลุงใจดี ขณะที่ย้งยี้โมโหจนควันออกหูอยู่ตอนนี้

“พ่อล้อเล่น คราวนี้จริงจังแล้ว” พ่อของย้งยี้หยุดหัวเราะและมีสีหน้าจริงจัง “พ่อมีธุระถึงได้ฝากข้อความนี้มา” ย้งยี้ที่กำลังโมโหหยุดฟังที่พ่อของเธอบอก “เรื่องสำคัญที่ว่าคือ รหัสที่ใช้แปลงร่างคือ เฮนชิน หรือจะพูดว่าแปลงร่างก็ได้ จำไว้ต้องปกโลกนี้นะลูก”

“ยังจะเล่นมุกซ้อนอีกนะตาแก่!!! ” ย้งยี้โวยวายหนักกว่าเดิม

“โอเคๆ เลิกเล่นแล้วคราวนี้จริงจังของจริง” พ่อของย้งยี้หยุดขำ “แม่ช่วยเอาเข็มขัดจากยัยลูกสาวขี้โมโหไปเก็บที มันเป็นของสำคัญกว่าจะหามาได้แทบแย่” ย้งยี้ส่งเข็มขัดแปลงร่างของเล่นให้แม่ของเธอ “ที่พ่อวิดีโอมาวันนี้ก็เพื่ออยากให้ลูกช่วยตามสืบเรื่องอะไรหน่อย พ่อเห็นว่าลูกน่าจะอยากช่วยพ่อทำคดีในฐานะนักสืบ” พ่อของย้งยี้จ้องตาลูกสาว “มันอาจจะเป็นคดีเล็กๆ แต่ก็นับเป็นการฝึกที่ดีถ้าอยากจะเป็นนักสืบ ที่เหลือก็คุยกับลุงอั้งเขาดูถ้าตกลงก็ลุยเลย มีอะไรพ่อจะรับผิดชอบเอง” พ่อของย้งยี้ยิ้มให้ลูกสาว “จำไว้นะลูก เฮนชิน แปลงร่างเพื่อช่วยโลกใบนี้” พ่อของย้งยี้พูดจบวิดีโอก็ตัดไป

“ยังจะมาเล่นมุกอีก” ย้งยี้บ่น

“มีอะไรสำคัญหรอคะพี่ถึงได้มาขอให้ย้งยี้ช่วย” แม่ของย้งยี้ถามชายแก่

“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก ก็แค่ช่วงนี้พวกร้านขายซีดีกับดีวีดีเถื่อนมันเยอะมากๆ จนตำรวจปราบไม่ไหว ทางเบื้องบนเลยอยากจะหาแหล่งผลิตแผ่นผี แต่เราก็ไม่มีสายที่พอจะตามสืบหาที่อยู่ได้ พวกนี้มันไหวตัวเร็วมีอะไรน่าสงสัยก็จะทิ้งหลักฐานแล้วหนีไป จนได้แต่ของกลางไม่ได้คน เราเลยอยากจะได้การจับพร้อมคน เลยอยากให้หนูย้งมาช่วยตามสืบ” ชายแก่ที่เป็นตำรวจมองมาทางย้งยี้

“แต่มันอันตรายมากๆ นะพี่ก็รู้ แถมย้งยี้ก็เป็นผู้หญิง” แม่ของย้งยี้จับไหล่ลูกสาว

“ฉันก็พูดแบบนี้ตอนที่คุยกัน ทางนั้นบอกว่าหนูย้งมีไม้เท้าถล่มภูผาวิชาประจำตละกูลเราอยู่ไม่มีทางเป็นอันตราย ส่วนเรื่องผู้หญิงก็ให้หนูย้งปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายตัดผมสั้นสวมชุดเสื้อผ้าเด็กผู้ชายไม่ต้องสวมแว่น แค่นี้ก็เหมือนเด็กผู้ชายแล้ว” ชายแก่มองมาทางย้งยี้และยิ้มให้เธอ

ย้งยี้ก้มมองหน้าอกตัวเองที่แทบไม่มีก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ” แค่โดนตัดผมยังไม่เท่าไหร่แต่มาว่าลูกสาวตัวเองเหมือนเด็กผู้ชายนี่มันเกินไปแล้ว! ตาแก่ เดี๋ยวลูกสาวผู้น่ารักก็เอาเข็มขัดไปแปลงร่างจริงๆ ซะเลย “ย้งยี้บ่นดังๆ ว่าพ่อของตน

“แต่ทางเราก็มีรางวัลนำจับด้วย เห็นเมื่อกี้บอกว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือลุงว่าคราวนี้คือโอกาสดีเลยนะ” ชายแก่ยิ้มกับย้งยี้

“ก็ได้ ถือว่าได้ช่วยตำรวจหนูตกลง” ย้งยี้กอดอกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นอกจากรางวัลนำจับแล้วหนูขอดีวีดีโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับพิเศษที่แถมตัวฟิกเกอร์เจ้าหญิงเบลด้วยเป็นการตอบแทนจากคุณพ่อ ถ้าได้หนูจะตกลงทันที” ย้งยี้ได้โอกาสจึงยื่นข้อเสนอ

ชายแก่ยิ้มฟันขาว “คิดอยู่แล้วว่าหนูย้งของลุงไม่ซิพ่อของหนูพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ ชายแก่เปิดรูปในคอมพิวเตอร์เป็นรูปดีวีดีโฉมงามกับเจ้าชายอสูรพร้อมตุ๊กตาฟิกเกอร์เจ้าหญิงเบลครบชุดให้ย้งยี้ดู “พ่อเขาซื้อไว้แล้ว บอกว่าเสร็จงานไม่ว่าจะสำเร็จรึไม่หนูก็จะได้ไปอยู่ดี”

“นี่มันของที่หนูตามหามานานแสนนาน พ่อหาเจอหรอเนี้ย” ย้งยี้ตาเป็นประกายจ้องรูปที่หน้าคอมพิวเตอร์จนแทบไม่วางตา “เป็นอันตกลงตามนี้” ย้งยี้เกี่ยวก้อยสัญญากับชายแก่


ในวันนั้นย้งยี้ก็มาตัดผมที่ร้านเจ้าประจำแถวบ้านโดยมีแม่มาด้วย

“ผมยาวๆ ตัดแบบนี้น่าเสียดายแย่” คุณป้าร้านทำผมบอกกับย้งยี้

“มันเป็นงานนะครับช่วยไม่ได้” ย้งยี้เก็กเสียงเป็นเด็กผู้ชาย

“ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าไปทำใครเจ็บตัวแบบคราวที่แล้วก็พอ” คุณป้าร้านทำผมบอกกับย้งยี้ เพราะเธอรู้ว่าย้งยี้มีวิชาไม้กระบองของย้งยี้นั้นสามารถล้มผู้ใหญ่หลายคนด้วยวิชาที่ฝึกมาอย่างดีจากแม่ของเธอ

“อันนั้นละที่หนูก็กลัว” แม่ของย้งยี้พูดเสริม

“แหมป้าๆ ทั้งสองคนก็ หนูออกจะเป็นสาวน้อย เอ๊ย ผมออกจะเป็นหนุ่มน้อยบอมบางจะไปทำใครได้กันครับ” ย้งยี้เก็กเสียงระหว่างพูด

“เรียบร้อยคราวนี้ก็เป็นเด็กผู้ชายแล้ว” คุณป้าร้านทำผมพูดกับย้งยี้ ขณะที่สาวน้อยถอดแว่นตาสีชมพูของตนเองออกแล้วมองใบหน้าใหม่ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นผมสั้นลงทรงแบบเด็กผู้ชาย

“แม่ครับผมหล่อไหม” ย้งยี้หันมาพูดกับแม่

“เหนื่อยใจพ่อลูกคู่นี้จริงๆ “แม่ของย้งยี้บ่นดังๆ

วันต่อมาย้งยี้ในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนแมวไร้หูสีฟ้ากับกางเกงสามส่วนสีนำเงินและรองเท้าผ้าใบพร้อมกับใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นตาเพื่อการปลอมตัว

“นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวนะที่หนูยอมใส่” ย้งยี้แสดงท่าทางไม่ชอบใจจนกระพริบตาถี่ๆ เมื่อต้องสวมคอนแทคเลนส์ที่เป็นแบบพิเศษ ซึ่งสามารถปิดสีตาที่ต่างกันของย้งยี้ให้เป็นสีน้ำตาลเหมือนคนปกติ

“เอาละเราจะตกลงตามนี้ ลุงจะฝากหนูย้งไปเป็นเด็กส่งของในร้านขายดีวีดีคนที่นั่นก็จะไม่รู้ว่าหนูย้งคือสายตำรวจและเป็นผู้หญิง เขาจะคิดว่าลุงฝากหลานมาหารายได้พิเศษ ว่ากันว่าที่นี่แอบขายแผ่นเถื่อน แต่ทางตำรวจไม่รู้ที่ตั้งเท่านั้น หน้าที่ของหนูย้งคือพยายามตีสนิทเพื่อให้ทางนั้นไว้ใจจะได้รู้ว่าแหล่งผลิตแผ่นผีอยู่ที่ไหน เราจะได้ไปจับทั้งคนทั้งของ” ลุงอั้งลูบหัวย้งยี้ก่อนจะให้เธอใส่หมวก

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยั้งมือบ้างนะลูก” แม่ย้งยี้บอกกับลูกสาว

“แทนที่จะห่วงลูกกลับไปห่วงโจรแม่นะแม่” ย้งยี้บ่น

“เรื่องนี้อาจจะใช้เวลาหลายวัน ยังไงตอนเลิกเรียนก็ไปทำบ่อยๆ และอย่าให้ใครที่นั่นรู้นะว่าหนูเป็นผู้หญิง ส่วนเรื่องโรงเรียนลุงไปขอนุญาติโรงเรียนให้หนูใส่วิกมาเรียนได้ แต่ห้ามบอกใครว่าใส่วิกนั่นคือข้อตกลงของโรงเรียน” ลุงอั้งบอกกับย้งยี้

“ได้อารมณ์นักสืบสุดๆ เลย มีทั้งการปลอมตัวการสืบความลับตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว ไปลุยกันเถอะค่ะ” ย้งยี้กระโดดด้วยท่าทางดีใจ

“เป็นสาวเป็นนางทำตัวเรียบร้อยหน่อยซิลูก” แม่ย้งยี้ดุ

ย้งยี้ส่ายหัวเบาๆ “ไม่ใช่ลูกสาวนะครับ ตอนนี้ผมชื่ออึ้งเป็นเด็กผู้ชายครับ กรุณาเรียกให้ถูกด้วยครับคุณป้า” ย้งยี้ยิ้มก่อนจะไปที่ร้านขายดีวีดีที่เป็นเป้าหมาย

ย้งยี้และลุงอั้งเดินเข้าไปในร้านขายดีวีดีขนาดใหญ่ที่มีแผ่นหนังซีดีและดีวีดีเพลงมากมายแต่ทั้งหมดในร้านเป็นแบบถูกลิขสิทธิ์ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย

“เฮียยังไงก็ฝากหลานชายผมด้วยพอดีมันกำลังหาค่าขนม” ลุงอั้งที่นัดกับลุงเจ้าของร้านขายดีวีดีที่เป็นชายแก่วัย 50 ปีเศษมีไฝเม็ดโตที่แก้มซ้าย

“จะมาทำงานที่นี่รู้เรื่องเพลงกับหนังรึเปล่าอาตี๋” ชายแก่มีไฝเจ้าของร้านถามย้งยี้

“รู้หมดครับ ผมชอบดูหนังทุกแนวเพลงก็รู้จักนักร้องทั้งไทยเทศครับ” ย้งยี้พูดยิ้มๆ “ยกตัวอย่างพี่สาวคนนั้น เธอน่าจะชอบหนังแนวสยองขวัญไล่เฉือดแบบฆาตกรโรคจิต เดี๋ยวผมไปแนะนำหนังใหม่ให้เธอเอง” ย้งยี้พูดจบก็เดินไปหาหญิงสาวที่กำลังยืนดูดีวีดีชั้นหนังแนวรักโรแมนติกอยู่

“รอดู” ลุงอั้งบอกกับเจ้าของร้านเมื่อเขาจะเถียงเรื่องที่ย้งยี้พูด

“สนใจหนังสยองเชื้อเขมือบโลกภาคใหม่ไหมครับพี่สาว หนังเพิ่งออกมาเมื่อวานนี้เอง” ย้งยี้บอกกับสาวสวยที่มีท่าทางตกใจเมื่อถูกทักแบบนี้

“เอ่อ” หญิงสาวท่าทางลังเล

“ไม่ต้องอายหรอกครับพี่สาว หนังแนวนี้ผู้หญิงชอบดูเยอะกว่าผู้ชาย ขนาดผมที่แมนๆ ยังปิดตาเลย ผมว่าพี่สาวต้องชอบแน่ๆ ” หญิงสาวมีท่าทางตกใจ “ไม่ต้องตกใจหรอกครับ เพราะผมเห็นนิตยสารกับกำไลข้อมือที่มาจากหนังเรื่องฮาโลวีน13 ที่จะได้มาก็ต่อเมื่อสั่งชุดพิเศษเท่านั้น แปลว่าพี่สาวต้องชอบหนังแนวนี้แน่ๆ และที่มายืนตรงนี้เพราะอายไม่กล้าเดินไปถามเจ้าของร้าน ถ้าพี่อยากได้เรื่องไหนอีกก็กระซิบบอกผมได้ เดี๋ยวผมไปคิดเงินห่อใส่ถุงให้เองรับรองไม่มีใครรู้” ย้งยี้ในร่างหนุ่มน้อยกระพริตาให้หญิงสาว ด้วยความน่ารักของย้งยี้จึงทำให้หญิงสาวหน้าแดง

“ขอบใจมากจ๊ะรูปหล่อ” หญิงสาวบอกรายชื่อหนังกับย้งยี้

“เฮียครับผมขอหนังเรื่องนี้กับเรื่องนี้แล้วก็เรื่องนี้ด้วยครับ เอาแบบชุดพิเศษนะครับ” ย้งยี้เดินมาบอกกับชายแก่เจ้าของร้านก่อนจะเอาแผ่นหนังใส่ห่อไปให้หญิงสาว

“ก็ได้อั๊วจะจ้างลื้อมาช่วยก็ได้” ชายแก่บอกกับลุงหลานเมื่อเห็นความสามารถของย้งยี้

“ทำงานดีๆ นะเย็นๆ ลุงจะมารับ” ลุงอั้งบอกกับย้งยี้

ทุกวันหลังเลิกเรียนย้งยี้จะรีบกลับมาปลอมตัวเพื่อไปยังร้านขายดีวีดีจนรู้จักกับคนที่นั่นเป็นอย่างดี โดยในร้านจะมีพนักงานประจำเป็นชายร่างผอมผิวขาวผมยาวเลยหลังชื่อพี่เสือ ส่วนเฮียเจ้าของร้านชื่อเฮียซ่ง

“เฮ้ย ไอ้อึ้งทายมาซิว่าคนนั้นมาซื้อหนังอะไร” กิจวัตประจำวันที่คนในร้านชอบเล่นกันนั่นคือการถามย้งยี้เรื่องลูกค้าที่จะมาซื้อของในร้านว่าจะเลือกหนังแบบไหน ซึ่งย้งยี้ก็จะอาศัยดูการแต่งตัวและการกวาดสายตาของคนที่เข้ามาว่าจะเลือกหนังแบบไหน และทุกครั้งย้งยี้จะทายแนวหนังถูกตลอดจนเป็นที่ถูกใจในทั้งเฮียซ่งและพี่เสือ

ภายในร้านเวลาปกติก็จะเป็นเหมือนร้านขายดีวีดีทั่วไป แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่จะมีคนมาส่งของโดยมีลังกระดาษหลายหลังถูกขนไปหลังร้าน ซึ่งที่หลังร้านจะมีอยู่ห้องหนึ่งที่ลูกปิดด้วยกุญแจที่มีเพียงเฮียซ่งเท่านั้นที่มีกุญแจและจะเปิดตอนมีของมาส่งเท่านั้น และวันนี้ก็มีของมาส่งเหมือนกับวันก่อนๆ

“อาเสือลื้อดูร้านด้วยนะ อั๊วจะไปเช็คของ” เฮียซ่งบอกกับพี่เสือระหว่างที่กำลังคิดเงินลูกค้า ขณะที่ย้งยี้กำลังปัดกวาดร้าน

“พี่เสือที่มาส่งมันคืออะไรหรอ ใช่ดีวีดีหนังผู้ใหญ่รึเปล่าครับ” ย้งยี้แกล้งถาม

“อ๋อ นั่นหรอเป็นหนังเถื่อน” พี่เสือเผลอพูดเสียงดังจนลดเสียงเมื่อรู้ตัว “อย่าไปบอกใครนะว่าที่นี่เป็นจุดกระจายแผ่นไปในตลาด”

“จริงหรอ แล้วขายแผ่นแท้ถูกลิขสิทธิ์มันไม่ได้กำไรหรอถึงทำแบบนี้” ย้งยี้ถามก่อนจะโดนตบหัวแรงๆ

“เอ็งไม่รู้อะไร ขายแผ่นแท้มันก็ได้กำไรแต่ขายแผ่นเถื่อนมันได้เต็มๆ กว่า คิดดูแผ่นซีดีแผ่นไม่กี่บาท ค่าปกค่าปั๊มบนแผ่นรวมๆ ตกแผ่นไม่ถึง 10 บาท แต่ขายทีแผ่นละ 100 กำไรเห็นๆ ถ้าเอ็งอยากได้หนังอะไรบอกได้เดี๋ยวข้าไปปั๊มมาให้” พี่เสือกระซิบบอกย้งยี้

“งั้นผมขอเรื่องเชื้อเขมือบโลกภาค 3 แล้วกันจะเอามาดูกับแฟน เวลาสาวๆ ดูหนังผีจะตกใจจนเผลอมาจับมือผมตลอด” ย้งยี้หลี่ตาไปยิ้มไปอย่างยียวน

“ร้ายนี่หว่าไอ้นี่ ได้เลยเลิกงานเดี๋ยวไปเอามาให้” พี่เสือบอก

ย้งยี้ดีใจที่เริ่มได้เริ่มมีความคืบหน้าหนังจากทำงานมาหลายวัน “จะเอาแผ่นมาจากไหนครับ หรือจะไปเอาหลังร้านแต่เฮียแกมีกุญแจคนเดียวนี่ครับ”

“บ้าหรอ ไปเอาที่นั่นก็โดนเฮียด่าตายนั่นของซื้อของขาย ข้าจะไปเอาที่โรงงาน” พี่เสือบอก

“เป็นโรงงานเลยหรอพี่” ย้งยี้พูดเสียงตกใจ

“ก็ไม่เชิงโรงงานหรอกแค่ห้องแถวเล็กๆ ที่มีเครื่องปั๊มแผ่นหลายสิบเครื่อง วันๆ ปั๊มออกมาได้เป็นพันนชุดแบบขายดีมากๆ ส่วนหน้าร้านก็แค่เอาไว้หลอกเจ้าหน้าที่ เพราะเราขายแต่แผ่นแท้พวกตำรวจไม่สงสัยหรอก ไม่เหมือนร้านอื่นที่ขายหน้าร้านก็โดนซิ ถึงต่อให้ตำรวจมาค้นที่นี่เจอแผ่นก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเราไม่ได้วางขาย แค่บอกไปว่ามีใครมาไว้ไม่รู้ก็จบ” พี่เสือพูดอย่างภูมิใจ

“โห้เจ๋งอ่ะ แปลว่าพี่เคยโดนมาตรวจแล้วซิ” ย้งยี้ถาม

“ก็เคยนะ เฮียแกเลยระวังไม่ให้กุญแจใครและรับฝากของเป็นโกดังหลังร้านบังหน้าไปด้วยเพื่อกันไว้” พี่เสือบอก

“สุดยอดเลยพี่” ย้งยี้ตาวาว

“แต่เอ็งก็ถามจังน่าสงสัยเป็นสายตำรวจรึเปล่า” พี่เสือจ้องตาย้งยี้

“ปะเปล่าพี่” ย้งยี้ส่ายหัว “ที่ผมถามเพราะผมอยากจะเก็บเงินไปเปิดร้านแบบนี้บ้าง อนาคตอาจจะมารับแผ่นจากที่นี่ไปขาย”

“ได้เลยรีบๆ เก็บเงินเดี๋ยวข้าจะปล่อยให้ราคาพิเศษ” พี่เสือยิ้มรับ

วันต่อมาย้งยี้ที่อยู่ในชุดนักเรียนหญิงสวมวิกใส่แว่นตาสีชมพูตาสองสีเหมือนปกติ วันนี้เธออยากจะลองอะไรบางอย่างจึงเดินไปที่ร้านขายดีวีดีที่เธอทำงาน เพื่อทดสอบดูว่าการปลอมตัวของเธอนั้นจะได้ผลรึเปล่า

“รับอะไรดีจ๊ะสาวๆ” พี่เสือยิ้มทักทายย้งยี้ที่มากับเพื่อนๆ โดยไม่มีทีท่าสงสัยที่เห็นย้งยี้

“พี่มีดีวีดีโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับภาษาอังกฤษไหมคะ” ย้งยี้เดินเข้ามาคุยกับพี่เสือขณะที่เฮียซ่งก็กำลังคิดบัญชีที่เค้าเตอร์

“มีครับ” พี่เสือพาไปหยิบแผ่นก่อนที่ย้งยี้จะเดินมาคิดเงินกับเฮียซ่ง

“980 บาทครับ” เฮียซ่งบอกกับย้งยี้โดยที่ไม่เอะใจเลยว่านี่คือเด็กในร้านที่มาทำงานทุกวัน

ย้งยี้พออกพอใจกับการปลอมตัวของตนเองที่ไม่มีใครจับได้หรือรู้สึกเอะใจเลย

และในทุกๆ เย็นลุงอั้งจะมาพาย้งยี้ไปส่งที่ร้านเพื่อสอบถามความคืบหน้า

ย้งยี้เล่าทุกอย่างที่รู้ให้ลุงอั้งฟังทั้งเรื่องการปลอมตัววันนี้รวมถึงข้อมูลที่เธอได้มาเมื่อวาน

“ลุงพอจะมีงบประมาณให้ผมไหม” ย้งยี้พูดเสียงเด็กผู้ชายกับลุงอั้ง “คือผมจะแกล้งทำเป็นคนขายแผ่นกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน เริ่มจากไม่กี่แผ่นเพื่อให้ทางนั้นตายใจ แล้วค่อยขยายจำนวนแผ่นเพื่อจะได้ไปดูที่โรงงานได้”

“ไอเดียน่าสนใจ” ลุงอั้งที่ขับรถอยู่ลูบคางทำท่าคิด

“เฮียซ่งแกค่อนข้างขี้ระแวงถ้าให้ผมทำแบบนี้เรื่อยๆ ก็คงไปไม่ถึงไหน ต้องทำให้คนแบบนี้ไว้ใจก่อนเราจึงจะเข้าถึง” ย้งยี้เสนอแนวทาง

“โอเคเดี๋ยวลุงจะจัดการเรื่องนี้ให้” ลุงอั้งตกลง

“จะน่าดีใจดีไหมที่ลูกสาวแม่อายุตั้ง 13 แล้วแต่ยังปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายได้” แม่ของย้งยี้ที่ติดรถมาด้วยพูดขึ้นที่ด้านหลังรถ เธอทำท่าเสียใจเป็นเชิงแกล้งลูกสาวตัวเอง

“แรง” ย้งยี้ที่นั่งหน้าหันมาหลี่ตาใส่แม่

ย้งยี้ที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายและเริ่มทำการล่อซื้อแผ่นที่เริ่มจากไม่กี่แผ่นตามที่ลุงเจ็ดบอก ก่อนที่จะเอาแผ่นดีวีดีมาให้ลุงเจ็ดเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนการสั่งซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแผน

“เอ็งขายดีจังว่ะ” พี่เสือตบหัวย้งยี้เบาๆ เป็นการชมเชยที่ย้งยี้มียอดสั่งซื้อเรื่อยๆ

“ว่าไปพี่ผมก็แค่ขายแบบไม่เอากำไรเยอะก็เลยขายดี จนมีพวกรุ่นพี่มาขอซื้อไปขายต่อผมเลยได้กำไรจากตรงนี้” ย้งยี้ที่เตรียมคำพูดเอาไว้แล้วบอกกับคนทั้งสอง

“แต่ก็ระวังไว้ด้วยนะต่อให้เป็นเด็กแต่ถ้าโดนจับได้จะงานเข้าลื้อ” เฮียซ่งบอกกับย้งยี้

“ครับผมจะระวัง” ย้งยี้ยิ้มตอบ

หลังจากนั้นย้งยี้ก็เริ่มมียอดขายที่มากบ้างน้อยบ้างเพื่อไม่ให้น่าสงสัย บางครั้งก็หยุดขอซื้อโดยโกหกว่าอาจารย์สงสัย บางครั้งก็บอกว่าโดนรุ่นพี่โกงเงินจนไม่อยากขายต่อเพื่อการสร้างเรื่องให้สมจริง การซื้อขายแบบนี้อยู่เป็นเดือนจนทางนั้นเริ่มตายใจย้งยี้จึงใช้เหยื่อก้อนโตขึ้นในการตก

“เฮียครับเฮีย” ย้งยี้วิ่งหน้าตาตื่นมาที่ร้าน

“มีอะไรอาตี๋” เฮียซ่งถามย้งยี้ด้วยท่าทางตกใจ

“ผมดีใจครับที่ความฝันผมจะเป็นจริงแล้ว” ย้งยี้ยิ้มออกมาพร้อมอาการหอบ

“ดีใจอะไรว่ะ” พี่เสือถาม

“วันนี้รุ่นพี่ผมเขาจะเปิดร้านขายแผ่นบ้างแล้ว เขาจะขอซื้อแผ่นต่อจากผมในราคาส่ง ผมเลยรีบวิ่งมาบอกเฮียครับ” ย้งยี้จ้องตาเฮียซ่งที่มองมาทางย้งยี้ด้วยแววตาเหมือนคนขี้ระแวง

“จริงดิ สุดยอด” พี่เสืยแสดงความยินดี “เฮียแบบนี้ต้องให้ราคาส่งมันแล้วนะเด็กมันจะได้มีทุน” พี่เสือบอกกับเฮียซ่ง

“ได้ซิถ้าจะรับเยอะขนาดไหนก็บอก” เฮียซ่งไม่แสดงท่าทางดีใจเขาดูนิ่งและไม่แสดงอาการอะไรออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน

“เฮียแกระแวงผมรึเปล่า” ย้งยี้ถามลองเชิง

“ไม่หรอกเอ็งก็ทำงานที่นี่มานานน่าจะรู้ว่าเฮียแกเป็นคนนิ่งๆ แบบนี้” พี่เสือบอก

หลังจากนั้นย้งยี้ก็ให้ลุงเจ็ดจัดคนมารับแผ่นจากที่ร้านเพื่อความสมจริง ซึ่งจำนวนที่มาซื้อนั้นก็มากบ้างน้อยบ้างเพื่อไม่ให้น่าสงสัย จนจำนวนครั้งที่สั่งเริ่มถี่ขึ้นจนย้งยี้ได้รับความไว้วางใจจากเฮียซ่งให้มาดูโกดังหลังร้านที่เก็บแผ่น

“เฮียของที่สั่งมันไม่พอผมจะเอาเรื่องรักนะจ๊ะกับผีหลอนนรกแตกกับคืนฟางสางผีมาหลอน นี่มันไม่ได้ตามที่สั่งเลย” ย้งยี้โวยวายเมื่อไม่ได้ของตามที่ต้องการ

“เออๆ เดี๋ยวเฮียดูให้” เฮียซ่งบอกกับย้งยี้ “ไอ้อึ้งตั้งแต่เป็นลูกค้าใหญ่ก็ขึ้นเสียงเลยนะเอ็ง เดี๋ยวข้าไปดูที่โรงงานให้ก็แล้วกัน”

“ดีเลยเฮียเร็วๆ นะลูกค้าผมรอ” ย้งยี้เท้าเอว “ตั้งแต่ที่รุ่นพี่ผมขายดีผมก็ขยายตลาดไปที่อื่นจนกลายเป็นนายหน้าแล้ว”

“ดี เอ็งขายดีข้าก็ขายดี” เฮียซ่งยิ้มให้กับย้งยี้ เพราะนอกจากที่ย้งยี้จะสั่งแผ่นไปแล้ว ย้งยี้ยังให้ลุงเจ็ดตั้งร้านปลอมๆ ขึ้นมาเพราะคนที่ไม่ไว้วางใจใครอย่างเฮียซ่งต้องมาตามสืบแน่นอน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะหลายครั้งที่ย้งยี้จะเห็นพี่เสือมาตามดูรถที่มาส่งของว่าไปที่ไหนและมีร้านขายจริงรึเปล่า ซึ่งลุงเจ็ดกับตำรวจก็ให้ความร่วมมือในการตั้งร้านขายจริงๆ ขึ้นมาเพื่อให้ทางนั้นตายใจ

“เฮีย ผมจะเอาเรื่องรักไร้หัวใจกับพายุคลั่งคนเดือดเมื่อไหร่จะมาลูกค้าผมรอแล้ว” หลังจากนั้นย้งยี้ก็เริ่มสั่งมากขึ้นและเร่งความต้องการให้มากขึ้นเพื่อกดดันเฮียซ่ง

“เออๆ เดี๋ยวจัดให้” เฮียซ่งรับคำ

“เออ เฮียช่วงนี้ผมเห็นตำรวจมาด่อมๆ มองๆ ร้านเราสงสัยจะเห็นคนขนของบ่อยรึเปล่า” พี่เสือบอกกับเฮียซ่งและย้งยี้ ซึ่งก็เป็นจริงเพราะย้งยี้เป็นคนแนะนำให้ทำแบบนี้ซึ่งก็คือแผ่นล่อเสือออกจากถ้ำ

“ข้าก็คิดแบบนั้น” เฮียซ่งรับคำ

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ไอ้อึ้งมันไปรับที่โรงงานเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาส่งของที่นี่ เดี๋ยววันดีคืนดีมันมาตรวจตอนขนของงานจะเข้าเอา” พี่เสือออกความคิด ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ย้งยี้วางแผนเอาไว้ เพราะเธอได้แอบพูดเรื่องนี้กับพี่เสือเอาไว้แล้วตอนเฮียซ่งไม่อยู่

“จริงของเอ็ง” เฮียซ่งทำท่าคิดก่อนจะให้ย้งยี้มาดูแหล่งผลิตดีวีดีเถื่อนตามที่คาดเอาไว้

“ยอดเยี่ยม” ลุงอั้งชมย้งยี้ที่ทำงานดีอย่างที่คิด “ทีนี่เราจะได้จับพวกมันแบบคาหนังคาเขา คราวนี้จะได้ดิ้นไม่หลุดเหมือนทุกครั้ง”

“ผมว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนครับ ให้ผมไปจัดการทุกอย่างดูต้นทางดูทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ถ้ารีบร้อนไปเดี๋ยวไก่จะตื่นแล้วหนีไปแบบครั้งก่อนๆ” ย้งยี้บอก

“ได้ลุงเชื่อหนูย้งยี้ เอ้ย อึ้ง” ลุงอั้งยิ้มให้ย้งยี้ระหว่างพามาเลี้ยงข้าว

หลังจากนั้นย้งยี้ก็ได้มีโอกาสไปที่โรงงานที่ที่ว่า ซึ่งความจริงแล้วเป็นแค่ห้องแถวแบบที่พี่เสือบอกจริงๆ เพราะโรงงานที่ว่านี้ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของตึกแถวแฝดที่อยู่คู่กันในย่านไม่ไกลจากร้านขายแผ่นซีดีที่ย้งยี้ทำงาน

“ที่นี่เราเป็นแหล่งผลิตรายใหญ่ที่ขายไปทั่วประเทศเลยค่อนข้างระวังตัว” พี่เสือบอกกับย้งยี้ระหว่างเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้น 4 ที่ห้องส่วนใหญ่จะเป็นห้องที่ปิดตายไม่ค่อยมีคนมาพักอาศัยในตึกนี้นักจึงเหมาะแกการตั้งโรงงานผลิตแผ่นดีวีดีเถื่อน

“ตึกนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่เลยหรอ” ย้งยี้ถามพี่เสือเพราะระหว่างทางเขาเจอคนที่เดินสวนมาน้อยมาก ต่างกับตึกตรงข้ามที่เป็นฝาแฝดที่มีคนอยู่เยอะกว่า

“รู้แล้วเงียบไว้นะเอ็ง” พี่เสือกระซิบบอกย้งยี้ “ที่ตึกนี้ไม่ค่อยมีคนมาพักเพราะเฮียซ่งแกแอบปล่อยข่าวว่ามีคนตายในตึกเลยทำให้คนย้ายไปตึก 1 กันหมดตึก 2 เลยค่อนข้างว่าง”

วางแผนไว้ลึกซึ้งสมเป็นเฮียซ่ง ย้งยี้คิดในใจด้วยความชื่นชม

พี่เสือโบกมือทักทายคนที่อยู่บนตึก 1 ที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางยียวน ขณะที่คนฝั่งนั้นมองมาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ ก่อนจะเดินสะดุดลูกบอลที่คล้ายๆ ลูกเทนนีสสีเขียวที่ทางเดินเมื่อขึ้นมาถึงชั้น 4 “ใครมาเล่นแถวนี้เนี้ย” พี่เสือเตะลูกบอลไปที่ทางเดิน

ทั้งสองมายังห้อง 413 บนชั้น 4 ที่ภายนอกนั้นก็เหมือนกับห้องแถวทั่วไป

“การจะเข้ามาต้องมีรหัสไม่อย่างนั้นคนข้างในจะไม่เปิด จำรหัสเคาะไว้นะ” พี่เสือบอกกับย้งยี้ก่อนจะเคาะรหัสด้วยมือไปที่ประตู ก๊อกก๊อก ก๊อก ก๊อกก๊อก ก๊อก “รหัสง่ายๆ 2 1 2 1” พี่เสือบอกกับย้งยี้

“ครับ” ย้งยี้รับคำเมื่อเคาะเสร็จก็มีหญิงสาวร่างอ้วนที่เป็นแรงงานพม่ามาเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ที่ภายในนั้นมีเครื่องผลิตแผ่นซีดีและดีวีดีเถื่อนอยู่มากมายหลายเครื่อง แต่ภายในนั้นกลับมีคนอยู่แค่คนเดียวที่เป็นแรงงานพม่าที่กำลังเอาแผ่นใส่ถุงพร้อมกับปกหนัง

“ที่นี่เราผลิตแผ่นตลอด 24 ชั่วโมงเครื่องมันจะทำทุกอย่างเองหมดแค่มาดูบ้างบางครั้งอย่างที่เห็นนั่นละ” พี่เสือเดินมาหยิบแผ่นดีวีดีที่อยู่ในลังที่ปั๊มเสร็จแล้วมาให้ย้งยี้ดู “ง่ายๆ ทีนี้จะเอาเรื่องอะไรก็บอกเดี๋ยวจะทำให้ ที่นี่มี 5 เครื่องทำได้เร็วอยู่แล้วแกก็แค่พาคนมารับของไปใส่ถุงก็เสร็จ” พี่เสือยกลังแผ่นหนังให้ย้งยี้อุ้ม

“สุดยอดเลยครับพี่” ย้งยี้แกล้งชื่นชม

และในหนึ่งอาทิตย์จะมีอยู่สองวันที่พี่เสือจะมาเฝ้าเครื่องแทนคนงานพม่า หลังจากวันนั้นย้งยี้ก็แกล้งทำเป็นสั่งสินค้าเพื่อจะหาทางไปที่นั่นบ่อยๆ จนสามารถกะช่วงเวลาที่พี่เสือจะมาเข้ากะเฝ้าร้านหรือไปแทนที่คนงานพม่าได้ จนเมื่อทุกอย่างพร้อมย้งยี้จึงให้สัญาณไปจับโรงงานพร้อมพี่เสือ

“ลุงครับผมขอไปด้วยได้ไหม ผมจะรออยู่ที่ตึก 1 ก็ได้” ย้งยี้บอกกับลุงอั้ง

“โอเค ในฐานะคนทำคดีก็ต้องไปให้สุดลุงเข้าใจ” ลุงอั้งบอกกับย้งยี้ระหว่างทานอาหารเย็น

คืนก่อนจะบุกไปแหล่งผลิตดีวีดีเถื่อน

“อิจฉาแกจังที่ได้ทำอะไรสนุกๆ แบบนี้แถมยังได้ปลอมตัวอีก” เสียงลูกปลาน้อยพูดขึ้นมาทางโทรศัพท์

“พูดแล้วก็นึกถึงสมัยก่อนตอนเด็กๆ ที่เราช่วยกันไขคดีเนอะ” ฟ้าพูดเสริม ทั้งสองคนเปิดลำโพงมือถือคุยกับย้งยี้ที่นั่งคุยโทรศัพท์บ้าน

“คราวนี้ฉันจะได้มีมือถือกับเขาบ้างจะได้โทรหาแกสองคนได้บ่อยๆ “ย้งยี้บอก

“แต่แกฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เกี่ยวกับพรุ่งนี้” จู่ๆ ฟ้าก็พูดขึ้นมา

“ไม่เอานะ เวลาที่แกคนใดคนนึงพูดแบบนี้ทีไรมีเรื่องทุกที” ย้งยี้พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“มันเหมือนเป็นคำสาปจำไว้แก” ลูกปลาน้อยแซว

“ไม่ตลกยายเตี้ย ฉันเห็นคนตายบ่อยเกินไปแล้ว แกรู้ไหมว่าจิตใจสาวน้อยคนนี้บอบบางขนาดไหน” ย้งยี้พูดเสียงอ่อยๆ

“จิตใจสาวน้อยที่เห็นศพคนตายสภาพอย่างเละ แต่พอไขคดีเสร็จก็ไปกินข้าวต่อได้โดยไม่รู้สึกอะไรนี่จิตใจบอมบางมากเลยนะ ตอนนั้นฉันหลอนจนกินอะไรไม่ลงไปเป็นเดือน” ลูกปลาน้อยบ่นดังๆ

“ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะแก ฉันเป็นห่วง” ฟ้าพูดกับย้งยี้

“ขอบใจนะเพื่อนรัก ดูไว้ยายเตี้ย เพื่อนเขาต้องให้กำลังใจกันแบบนี้” ย้งยี้บ่นใส่ลูกปลาน้อย

“จ้า จ้าน้องอึ้งสุดหล่อ ไหนขอเสียงเก็กผู้ชายหน่อยซิ ชอบแกตอนเป็นผู้ชายจริงๆ หล่อมากๆ” ลูกปลาน้อยแซวย้งยี้เมื่อเห็นรูป

“ขอบคุณครับพี่ลูกปลา” ย้งยี้พูดเสียงเข้ม

“กรี๊ดดดด แกไปเป็นผู้ชายไม่ก็ทอมท่าจะรุ่งนะยัยสี่ตา” ลูกปลาน้อยแซว

“ตลกละแก แค่นี้ละพรุ่งนี้มีงานใหญ่ต้องทำ” ย้งยี้ขอตัวไปนอนก่อนจะวางสายจากเพื่อน เมื่อเดินมาถึงห้องย้งยี้ก็หันมาดูกรอบรูปที่เป็นรูปย้งยี้ตอนเด็กที่ถ่ายคู่กับเพื่อนสนิททั้งสองคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ และอีกไม่นานเมื่อย้งยี้เรียนจบชั้นมัธยมต้นเธอก็จะได้ไปเรียนต้องชั้นมัธยมปลายที่บ้านเกิดในจังหวัดประจวบพร้อมกับเพื่อนๆ ทั้งสองคน

วันที่ถูกกำหนดเอาไว้คือวันศุกร์ช่วงบ่ายที่เป็นช่วงเวลาที่แรงงานสาวชาวพม่าจะได้หยุด วันนั้นพี่เสือจะมาเฝ้าเครื่องที่โรงงาน ตำรวจจึงจะใช้ช่วงเวลานี้เข้าไปจับพี่เสือพร้อมหลักฐาน

ย้งยี้ที่เปลี่ยนมาเป็นนักเรียนหญิงสวมแว่นใส่วิกเป็นตัวเอง เธอเดินเข้ามายังตึกแฝดหมายเลย 1 ก่อนจะเดินขึ้นมารอที่ชั้น 4 เพื่อจะดูเหตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น

ตำรวจหลายนายพร้อมเครื่องแบบและอาวุธครบมือวิ่งขึ้นมายังชั้น 4 ของตึกอย่างเงียบงันและรวดเร็ว โดยทางตำรวจยืนยันกับย้งยี้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ยิงตอบโต้หรือทำร้ายพี่เสือ เพราะถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ผลิตแผ่นผีแต่ก็ไม่ใช่คนร้ายฆ่าคน อีกอย่างเท่าที่ย้งยี้รู้จักกับพี่เสือมาเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีแค่เลือกอาชีพผิด ย้งยี้จึงขอทางลุงอั้งในเรื่องนี้ซึ่งทางตำรวจก็รับปาก

“ปัง” เสียงพังประตูของตำรวจที่หน้าห้อง 413 โดยที่ย้งยี้ยืนดูอยู่ห่างๆ

ไม่นานหลังจากที่ตำรวจเข้าไป ลุงอั้งก็เดินออกมาและกวักมือเรียกย้งยี้ให้มาที่นี่

ย้งยี้รีบวิ่งมายังที่ชั้น 4 ของตึก 2 ทันทีด้วยความสงสัย

“มีอะไรคะ” ย้งยี้ถามลุงอั้งที่ยืนรออยู่

“ไปดูเองเถอะ” ลุงอั้งบอกกับย้งยี้

“ไม่จริงน่า” ย้งยี้อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเดินเข้าไปในโรงงานก็เห็นศพพี่เสือนอนจมกองเลือดอยู่ภายในนั้น สภาพมีมีดปลอกผลไม้ปักที่หน้าอก ส่วนในมือก็กำลังกุมโทรศัพท์มือถือที่เปื้อนไปด้วยเลือด

“ดูจากสภาพศพผู้ตายน่าจะถูกคนร้ายแทงที่หน้าประตู ก่อนที่ผู้ตายจะปิดล็อคประตูและมาตายในโรงงาน” ย้งยี้คิดภาพของพี่เสือที่เปิดประตูรับใครบางคนที่รู้จัก ซึ่งต้องเคาะรหัสที่ถูกต้องพี่เสือจึงกล้าเปิด ซึ่งเมื่อเปิดประตูออกมาเขาก็ถูกแทงทันที ซึ่งตอนนั้นพี่เสือที่ยังไม่ตายแต่ตกใจจึงรีบปิดล็อคประตูรีบมาหาโทรศัพท์ก่อนจะเสียชีวิต

“ผู้กองครับ” นายตำรวจที่เก็บหลักฐานหยิบโทรศัพท์มือถือที่เป็นแบบปุ่มกด (เรื่องราวตอนนี้เป็นยุคก่อนที่โทรศัพท์มือถือแบบจอสัมผัสเริ่มเป็นที่นิยม) ของพี่เสือที่ใส่ถุงเก็บหลักฐานมาให้ลุงอั้งดู

“เค้าโทรไปหาใครก่อนตายไหม” ลุงอั้งถามนายตำรวจที่เก็บหลักฐาน

“ไม่ครับ บนหน้าจอมีแค่ตัวเลข 1111555555 ตอนนั้นผู้ตายคงจะเสียเลือดจนกดผิดกดถูก” นายตำรวจที่เก็บหลักฐานบอกกับลุงอั้ง

“ขอถุงมือด้วยค่ะ” ย้งยี้ที่ได้ฟังก็คิ้วขมวดเดินไปในที่เกิดเหตุพร้อมใส่ถุงมือ

“ผู้กองครับ” นายตำรวจคนเดิมจะเข้าไปห้ามย้งยี้

“ปล่อยเธอ มีอะไรผมรับผิดชอบเอง” ลุงอั้งบอกกับนายตำรวจคนนั้น

ย้งยี้เดินมาดูที่ศพของพี่เสือในสภาพนอนตะแคงข้าง ปลายเท้าหันออกไปทางประตู ที่ลูกบิดด้านในมีรอยเลือดของพี่เสือ

“พี่เขาเคยบอกว่าคนที่นี่จะไม่เปิดประตูถ้าไม่เคาะรหัส” ย้งยี้บอกกับลุงอั้ง “เท่าที่หนูรู้ก็มีพี่คนงานพม่าเฮียซ่งเจ้าของโรงงานแล้วก็หนูเท่านั้นที่รู้รหัสนี้”

“งั้นก็แปลว่าคนที่รู้รหัสก็อาจจะเป็นคนร้าย” ลุงอั้งทำท่าคิด

ย้งยี้เดินดูสถานที่เกิดเหตุและพบกระเป๋าเงินของพี่เสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน ข้างในกระเป๋ามีรูปของหญิงสาวคนหนึ่งในนั้น

“หนูย้ง” ลุงอั้งเรียกย้งยี้มาคุย “ก่อนบุกลุงได้ส่งลูกน้องหลายคนไปเฝ้าที่ร้านตั้งแต่ร้านเปิด เฮียซ่งอยู่ที่ร้านไม่ได้ไปไหนเลยจนถึงตอนนี้ ส่วนแรงงานพม่าก็อยู่ที่ร้านอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวมีพยานเป็นคนดูแลร้านกล้องวงจรปิดแล้วก็เด็กๆ ในร้านที่เป็นพยาน” ลุงอั้งเกาหัว “ทั้งสองคนไม่น่าจะเป็นคนร้ายได้เลยเมื่อดูจากพยานหลักฐาน”

“งั้นก็เหลือแต่ผู้หญิงคนนี้แล้ว” ย้งยี้ส่งรูปให้กับลุงอั้ง

“ถ้าไม่ใช่สองคนนั้นก็ต้องเป็นแฟนผู้ตายที่น่าจะมีข้อมูล” นายตำรวจที่ยืนฟังย้งยี้พูดกับลุงอั้งคุยกันพูดขึ้นมา “โชคดีที่นี่มีกล้องวงจรปิดเราอาจจะได้อะไรบ้างก็ได้”

“ช่วยตรวจสอบตึกนี้ด้วยว่ามีกี่ห้องที่มีคนอาศัย และมีทางเข้าออกอื่นนอกจากทางประตูรึเปล่าด้วยนะ” ย้งยี้บอกลุงอั้ง

“ได้” ลุงอั้งรับคำขณะที่นายตำรวจคนอื่นๆ มีท่าทางแปลกใจที่หัวหน้าตนรับคำเด็กผู้หญิงเหมือนเป็นลูกน้อง

“แกไม่รู้หรอว่าเด็กคนนี้เคยช่วยทำตรวจไขคดีมามากมายเลย แต่ทางพ่อแม่เขาไม่ให้เปิดเผยออกสื่อเลยมีแค่ตำรวจที่รู้เรื่องนี้” นายตำรวจกระซิบกันเอง

ไม่นานหญิงสาวในรูปที่เป็นสาวสวยหน้าตาดีในชุดพนักงานร้านขายโทรศัพท์มือถือก็มาถึงที่เกิดเหตุ

“พี่เสือ” หญิงสาวร้องไห้และจะวิ่งมาหาศพด้วยความเสียใจจนนายตำรวจต้องมาห้ามตัวเอาไว้

ตำรวจใช้เวลาอยู่นานเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ของเธอ จนย้งยี้ขอเข้าไปคุยเอง

“เสียใจด้วยนะคะเรื่องแฟนพี่” ย้งยี้พูดเสียงราบเรียบกับหญิงสาวที่นั่งมือสั่นยังคงร้องไห้อยู่

หญิงสาวในชุดพนักงานพยักหน้ารับ

“พี่จะแต่งงานกันใช่ไหมคะ” ย้งยี้ถามหญิงสาว เพราะเธอเห็นรูปถ่ายเวดดิ้งในกระเป๋า

“เราสัญญาว่าจะแต่งงานกันหลังจากที่เขาขายดีวีดีชุดใหญ่ได้ เขาว่าเด็กในร้านที่รู้จักมักจะมีการสั่งของเยอะตลอดจนทำให้ทางโรงงานต้องเร่งผลิต เขาว่ารายได้คราวนี้ก้อนใหญ่ถ้าได้งานนี้ก็พอจะทำให้ลามือจากวงการ เห็นบอกว่าจะไปเปิดร้านขายดีวีดีแบบถูกกฎหมายพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็มาจากไปก่อน” หญิงสาวร้องไห้อีกครั้ง “ตานั่นพูดขนาดที่ว่าจะชวนน้องคนนั้นมาร่วมหุ้นเปิดร้านด้วย ฝันไปไกลจริงๆ เลยนะ”

ย้งยี้ที่ได้ยินก็รู้สึกสะอึกในลำคอพูดไม่ออก เธอมองไปยังหญิงสาวที่กำลังพูดถึงอนาคตที่ไม่มีวันเป็นจริง และสิ่งที่พี่เสือพูดก็คือตัวของย้งยี้เองทั้งหมดที่หลอกล่อซื้อแผ่นดีวีดีเถื่อนจากเขาที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับเขาเข้าคุก นั่นจึงทำให้ย้งยี้รู้สึกเหมือนมีหมอกขึ้นมาปกคลุมในใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก เพราะถ้าเขาไม่ถูกฆ่าตายตอนนี้ก็คงต้องถูกจับและทำให้ความฝันของทั้งคู่อาจจะยืดออกไปหรือไม่เป็นจริง ซึ่งนั่นทำให้ย้งยี้รู้สึกเศร้าขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ออก

“อยากจะรู้เหตุจริงๆ ว่าทำไมต้องฆ่าเขาด้วยพี่เสือแค่ผลิตแผ่นผีไม่ได้ไปค้ายาฆ่าคนทำไมต้องฆ่ากันด้วย ให้ไปติดคุกยังจะดีกว่า” แฟนพี่เสือร้องไห้ออกมาทั้งน้ำตา

“บ้าเอ๊ย!! ” ย้งยี้รู้สึกเจ็บใจเมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้

“คุณตำรวจคะ คุณต้องจับคนร้ายให้ได้นะ แฟนหนูต้องไม่ตายฟรี” แฟนพี่เสือวิ่งมาจับแขนลุงอั้งทั้งน้ำตา

ย้งยี้สบตากับลุงอั้งโดยไม่พูดอะไร ขณะที่ศพของพี่เสือถูกเก็บออกไปจากที่เกิดเหตุ

“คิดซิคิด” ย้งยี้พยายามคิดหาหลักฐานเพื่อหาตัวคนร้าย

“ได้ข้อมูลมาแล้วครับ” นายตำรวจที่ไปหาข้อมูลบอกลุงอั้งก่อนที่เขาจะเดินมาหาย้งยี้ “ที่นี่มีคนพักอยู่แค่ไม่กี่ห้อง มีแค่คนแก่พนักงานบริษัททั่วไป ทุกคนออกไปทำงานตอนเช้าไม่ก็อยู่ในห้อง ส่วนกล้องวงจรปิดนอกจากคนออกไปตอนเช้าก็มีแค่ผู้ตายที่เข้ามาพร้อมกับแฟน ก่อนที่เธอจะเดินออกไปก่อนเกิดเหตุชั่วโมงกว่าๆ” ลุงเจ็ดบอกกับย้งยี้

“แล้วที่นี่มีทางเข้าทางอื่นได้ไหมคะ” ย้งยี้ถามต่อ

“เท่าที่ตรวจสอบรอบๆ ที่นี่มีกำแพงที่มีรั้วลวดหนามแถมยังเป็นป่ารกแถมลวดหนามก็ไม่มีร่องรอยการถูกตัดไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้” ลุงเจ็ดบอก

“คนร้ายอาจจะแอบเข้ามาแอบที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ” นายตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“เป็นไปได้ค่ะ แต่การหนีออกไปจากที่นี่โดยไม่ถูกจับก็น่าเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะแอบอยู่ที่นี่ แต่หนูว่าไม่ใช่” ย้งยี้กอดอกเอามือขวาลูบคางตนเองเมื่อใช้ความคิด

“ยังไงก็ไปค้นหน่อยก็แล้วกัน ไปบอกคนเฝ้าตึกว่าเราขอค้นหน่อย แค่ตรวจสอบหาคนร้ายเท่านั้น” ลุงเจ็ดบอกกับลูกน้องตน ซึ่งหลังจากทำการค้นจนทั่วทุกห้องก็ไม่พบใครที่น่าสงสัยแอบอยู่เลย

“เป็นไปไม่ได้คนร้ายที่ฆ่าคนตายแบบนี้จะหนีไปได้อย่างไรกัน” นายตำรวจหลายคนคุยกันไปมา

“เออ ขอโทษนะครับคุณตำรวจ” ชายร่างอ้วนผมยาวสวมแว่น ที่เป็นคนเฝ้าตึกเดินมาหาลุงเจ็ดกับย้งยี้ด้วยท่าทางหอบ “ผมมีอะไรจะบอก แต่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับคดีไหม” ชายร่างอ้วนปัดผมไปทัดหูและมองมาทางแฟนพี่เสือที่กำลังยืนสะอื้น “ที่นี่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมอะไรแบบนี้มาก่อนครับ ตอนนั้นทางตำรวจก็หาคนร้ายไม่เจอแถมกล้องวงจรปิดก็ยังไม่เจอใครที่เข้าออกเลย” ชายร่างอ้วนหันมามองย้งยี้กับลุงอั้งระหว่างพูด “ที่นี่ต้องมีคำสาปไม่ก็ถูกผีสิงแน่นอน”

“มีประโยชน์มากเลย” ย้งยี้บ่นเบาๆ ระหว่างเดินออกไปจากชายร่างอ้วน

“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ” ลุงอั้งบอกกับชายร่างอ้วนที่ยืนยิ้มตาตี่ตอบรับด้วยความยินดี

ซึ่งหลังจากที่ช่วยตำรวจตรวจสอบห้องต่างๆ แล้วชายอ้วนก็ยังยืนมองตำรวจที่กำลังเก็บหลักฐาน และหลบตำรวจที่เดินไปมาจนเจออะไรบางอย่างที่พื้น “เจอลูกเทนนีสอีกแล้ว ดีๆ จะได้เก็บไว้ปาเล่น” ชายร่างอ้วนพูดขึ้นมาเมื่อพบลูกบอลที่พื้น

ย้งยี้มองลูกบอลในมือของชายอ้วนระหว่างที่เขาโยนไปมา และตอนโยนนั้นเขาก็ทำมันตกพื้นจนกระเด้งไปมาตามพื้นและกำแพง จนทำให้ย้งยี้เห็นร่องรอยบางอย่างที่กำแพงและประตูที่มีร่องรอยของเส้นบาดลึกที่มาจากของมีคมบนประตูห้องโรงงานและกำแพง

“รอยพวกนี้” ย้งยี้เอานิ้วลูบที่รอยบนกำแพง “ลุงหนูขอดูมีดที่ใช้แทงผู้ตายหน่อย” ย้งยี้บอกลุงอั้ง

“ที่มีดเราตรวจสอบรอยนิ้วมือแล้วไม่พบอะไรเลย คนร้ายคงจะใส่ถุงมือก่อนลงมือ” ลุงเจ็ดขอกกับย้งยี้ระหว่างที่เธอดูด้ามมีดปลอกผลไม้ที่ดูเรียวเหมือนมีดปลอกผลไม้ทั่วไปไม่มีอะไรดูแปลกไปจากเดิม แต่เมื่อย้งยี้เอาปลายมีดไปเทียบกับกำแพงก็พบว่าขนาดร่องของปลายมีดพอดีกับรอยบนกำแพง

ย้งยี้เดินไปมาที่ชั้น 4 ก่อนจะชะโงกไปที่ที่ตึกฝั่งตรงข้ามและตรวจดูภายในโรงงานอย่างละเอียดก่อนจะเดินมาหาชายแก่ “ลุงคะหนูไขปริศนาคดีนี้ได้แล้ว” ย้งยี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่นายตำรวจคนอื่นๆ กำลังยืนงงในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ต้องการอะไรว่ามาเลย” ลุงอั้งถามย้งยี้

“ตอนนี้หนูต้องตรวจสอบบางอย่างให้แน่นอนก่อน ยังไงก็ขอคนของลุงตามหนูมาด้วยนะ แล้วก็ช่วยเรียกทุกคนที่เกิดเหตุด้วยนะค่ะ” ย้งยี้บอกกับลุงอั้งด้วยแววตาที่เป็นประกายเพราะเธอเข้าใจทุกอย่างหมดแล้วในตอนนี้

ไม่นานหลังจากที่ย้งยี้บอกกับลุงอั้งเธอก็หายตัวไปจากที่เกิดเหตุ ขณะที่ลุงอั้งก็ใช้ความเป็นตำรวจเรียกเฮียซ่งแรงงานพม่าที่อยู่ร้านเกมชายร่างอ้วนผู้ดูแลตึกและแฟนของพี่เสือให้มายืนรอที่ชั้น 4 หน้าโรงงานที่เกิดเหตุ

“ทุกคนมาครบกันหมดแล้ว” ลุงอั้งใช้วิทยุสื่อสารกับย้งยี้เมื่อทุกคนมายืนที่หน้าประตูโรงงาน

“นี่มันอะไรกันคุณตำรวจ ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นทำไมเรียกผมมาที่นี่” เฮียซ่งเหงื่อตกทำท่าทางโวยวายเมื่อมายืนที่เกิดเหตุ

“เฮียๆ” แรงงานพม่าจับแขนเฮียซ่งด้วยท่าทางตกใจเมื่อเห็นสภาพที่เกิดเหตุ

“แกเป็นใครเรารู้จักกันหรอ” เฮียซ่งสะบัดแขนออกจากแรงงานพม่าออก

ขณะที่แฟนพี่เสือและคนดูแลตึกก็ยืนงงว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่

“ขอบคุณทุกคนที่มากัน” เสียงของย้งยี้ดังจากวิทยุสื่อสารจนทุกคนหันมามองทางลุงอั้งที่ถือวิทยุอยู่

“นี่กำลังเล่นอะไรกันอยู่ เดี๋ยวนี้ตำรวจไม่มีอะไรทำแล้วใช่ไหมที่มาเล่นอะไรแบบนี้” เฮียซ่งโวยวายที่ดูก็รู้ทันทีว่าเขาพยายามจะพาตัวเองให้ออกจากตรงนี้

“ใจเย็นๆ ก่อน ทุกอย่างที่คุณพูดตอนนี้จะถูกบันทึกเอาไว้ ถ้าไม่อยากมีปัญหาอะไรก็เงียบๆ แล้วฟังสิ่งที่วิทยุกำลังบอกดีกว่า” ลุงอั้งพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมจนเฮียซ่งเงียบเสียง ขณะที่แรงงานพม่าหน้าซีดเผือกด้วยความกลัว

“ทุกคนไม่ต้องสนใจหรอกนะคะว่าหนูคือใคร แต่สิ่งที่หนูจะบอกก็คือหนูรู้แล้วว่าใครคือคนร้ายที่ฆ่าคนแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย” เสียงย้งยี้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “สำหรับคนที่ไม่ทราบ ผู้ตายถูกคนร้ายแทงจากหน้าประตู ก่อนที่เขาจะรีบปิดประตูและมาเสียชีวิตในห้องในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อเราไปตรวจกล้องวงจรปิดก็ไม่พบว่ามีคนน่าสงสัยเข้าออกที่นี่เลย”

“เหมือนกับคดีในตอนนั้นเลย” ชายร่างอ้วนผู้ดูแลตึกพูดขึ้นมาก่อนจะเงียบเสียงเพราะถูกทุกคนมอง

“และจากข้อมูลที่ตำรวจได้มาที่นี่คือแหล่งผลิตดีวีดีเถื่อนรายใหญ่ ซึ่งเจ้าของค่อนข้างระวังตัวในเรื่องนี้มากๆ” เฮียซ่งถอดหายใจแรงๆ ด้วยความไม่พอใจ “และการจะเข้าออกที่นี่ต้องใช้รหัสในการเปิด นั่นก็หมายความว่าคนร้ายอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่รู้รหัสนี้”

ทุกคนมองหน้ากันเมื่อย้งยี้พูดมาถึงตรงนี้

“เดี๋ยวนะรหัสอะไร” ชายร่างอ้วนคนดูแลตึกพูดขึ้นมา

“อย่าทำเป็นไม่รู้เลยค่ะ จากข้อมูลที่ตำรวจได้มาการที่ตึกนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่และย้ายไปที่ตึก 1 กันหมด ก็เพราะข่าวลือเรื่องการฆาตกรรมที่นี่กับการกันคนที่จะมาพัก เพื่อที่พวกคุณจะได้แอบตั้งโรงงานผลิตแผ่นดีวีดีเถื่อนได้โดยที่ไม่ถูกสงสัย ดังนั้นถ้าคุณจะพูดว่าคุณไม่รู้จึงเป็นเรื่องโกหก” ชายร่างอ้วนพูดไม่ออก

“ส่วนคุณที่เป็นแฟนกับผู้ตาย ในตอนก่อนเกิดเหตุคุณมาหาผู้ตายและออกไปก่อนเกิดเหตุ จึงถูกนับรวมไปด้วยว่าคุณคือหนึ่งในคนที่รู้รหัสเปิดประตู” ทุกคนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรเมื่อย้งยี้พูดจบ

“จะว่ารู้ก็รู้” แฟนพี่เสือพูด

“แล้วไง จะบอกว่าหนึ่งในพวกเราคือคนร้ายอย่างงั้นหรอ” ชายร่างอ้วนเหงื่อยออก เขามองมาทางลุงอั้งก่อนจะพูดใส่วิทยุแต่ย้งยี้ไม่ตอบ

“ปึก” สิ้นเสียงของชายร่างอ้วนก็มีมีดปลอกผลไม้เล่มหนึ่งบินมาปักที่ประตู ซึ่งห่างจากที่ทุกคนยืนอยู่ไม่มาก ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นมีดพร้อมกับจุดเลเซอร์ก็รีบหันไปทางทิศตรงข้ามของตึกแฝดที่เป็นตึกหนึ่งแต่ก็ไม่พบใครที่ชั้น 4 แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปที่ชั้น 5 ที่อยู่สูงขึ้นไปก็พบย้งยี้กับนายตำรวจอีกหลายนายยืนอยู่ และหนึ่งในนั้นก็ใช้หน้าไม้ติดเลเซอร์เล็งมาทางทุกคน

“คนร้ายใช้วิธีนี้ในการฆ่าผู้ตาย” ย้งยี้พูดวิทยุเมื่อทุกคนมองมาทางตน “ร่องรอยบนกำแพงคือการซ้อมยิงของคนร้ายเพื่อหาจุดยิงที่แม่นที่สุดในนัดเดียว และที่ชั้น 3 ของห้อง 313 ก็มีร่องรอยแบบนี้เหมือนกัน ที่จากผู้ดูแลตึกบอกว่าเคยเกิดเหตุคนถูกฆ่าแบบนี้เหมือนกันและหาตัวคนร้ายไม่ได้ ฉันจึงไปดูที่เกิดเหตุจึงรู้ว่าคนร้ายใช้วิธีนี้”

ทุกคนกำลังนึกภาพของพี่เสือที่เปิดประตูออกมา ก่อนจะถูกคนร้ายใช้หน้าไม้ซึ่งลูกดอกก็คือมีดปลอกผลไม้ซึ่งแอบอยู่ที่ชั้น 5 ยิงที่หน้าอก ก่อนที่ผู้ตายจะหนีกลับเข้าไปในห้องและเสียชีวิต และก่อนที่เขาจะตายก็ได้กดเลข 1111 กับ 5555 ที่เป็นการบอกใบ้ให้ใครก็ได้รู้ก่อนตาย

ย้งยี้อธิบายเรื่องโทรศัพท์มือถือที่พี่เสือกดเอาไว้

“ผมมีคำถาม” ลุงเจ็ดพูดขึ้นมา “ถึงคนร้ายจะใช้วิธีนี้ฆ่าได้ก็จริง แต่คนร้ายจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ตายจะออกมาจากห้องตอนไหน ยิ่งการเปิดประตูต้องใช้รหัสในการเปิดคนร้ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะมาเคาะประตูได้อย่างไร”

“คำตอบอยู่ในมือของพี่คนเฝ้าตึกแล้วค่ะ” ย้งยี้พูดจบทุกคนก็มองไปที่ลูกบอลในมือชายร่างอ้วน ก่อนที่ย้งยี้จะขว้างลูกเทนนีสมาจากชั้น 5 ที่เป็นรหัสตามจังหวะการเคาะได้อย่างพอดี

เมื่อลูกบอลลูกสุดท้ายกระแทกประตูจนกระเด็นออกนอกอาคารไป ภาพที่ขาดหายไปก็กลับมาครบ เมื่อคนร้ายขว้างลูกบอลออกไปใส่ประตูเป็นรหัสเปิดประตู พี่เสือที่ได้ยินจึงเดินมาเปิดประตูก่อนจะถูกหน้าไม้ยิง

ทุกคนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก

“แล้วใครคือคนร้าย” ลุงอั้งพูดขึ้นมาก่อนจะมองมาทางทุกคน

“อั๊วอยู่ร้านตลอดทั้งวันไม่ได้ไปไหนไม่เชื่อถามลูกน้องลื้อดูก็ได้” เฮียซ่งบอกกับลุงเจ็ด

“ของหนูก็อยู่ร้านเกม” แรงงานพม่าพูดเสียงสั่น

“ส่วนฉันก็อยู่ร้านขายมือถือตั้งแต่ออกไป” แฟนพี่เสือพูดขึ้นมาก่อนที่ทุกคนจะมองมาทางชายร่างอ้วน

“มะไม่ใช่ผมนะ ผมเล่นเกมอยู่ตลอดไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น” ชายร่างอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนเขาเหงื่อแตกและมองหน้าทุกคนที่มองมาทางตน

“ทุกคนที่นั่นไม่ใช่คนร้ายหรอกค่ะ คนร้ายตัวจริงแอบอยู่ในห้อง 513 ของชั้น 5 ที่ฉันได้หน้าไม้และลูกบอลนี่” ย้งยี้หันมาที่ชายหนุ่มที่ถูกจับอยู่หน้าห้อง

ทุกคนมีท่าทางตกใจเมื่อทราบว่าคนร้ายยังแอบอยู่ที่นั่น

“คนนี้คือแฟนของคุณใช่ไหมค่ะ” ย้งยี้พูดกับแฟนของพี่เสือจนเธอสะดุ้งด้วยความตกใจ

“อะไรกันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น” แฟนพี่เสือบ่ายเบี่ยงก่อนที่ย้งยี้จะเอาวิทยุมาให้คนร้ายพูด “ไหนบอกว่าวิธีนี้ได้ผลไง ก็แฟนเก่าเธอที่ตายไปนั่นมันเคยทำมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนไม่เห็นถูกจับได้ ทำไมคราวนี้ถึงถูกจับได้กัน” ชายหนุ่มคนร้ายตะโกนใส่วิทยุ

“ถ้าให้สรุปตอนนี้” ย้งยี้มีสีหน้าที่เรียบเฉยและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในอดีตผู้ตายเคยใช้วิธีนี้ฆ่าแฟนเก่าของคุณเพื่อที่ทั้งสองคนที่เป็นชู้กันจะได้คบกันได้สะดวก แถมยังได้ตึกนี้มาเป็นโรงงานผลิตแผ่นดีวีดีเถื่อน จนเวลาผ่านไปคุณที่เริ่มเบื่อผู้ตายเลยคิดจะใช้วิธีเดียวกันนั้นฆ่าเขา โดยคุณที่เป็นนกต่อได้มาดูว่าผู้ตายอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ ก่อนจะให้คนร้ายลงมือ” ย้งยี้มองมาทางหญิงสาวที่ยืนร้องไห้ออกมาเมื่อถูกจับได้

.......

ภาพตัดมาที่แฟนพี่เสือที่กำลังวางแผนกับคนร้ายในการฆาตกรรม เพราะในอดีตเธอกับพี่เสือเคยใช้ลูกบอลปาไปที่ประตูห้องให้เหมือนคนมาเคาะเรียก จนเมื่อผู้ตายในตอนนั้นเปิดประตูมาก็ถูกพี่เสือใช้หน้าไม้ที่ลูกดอกเป็นมีดปลอกไม้ยิงแฟนเก่าของเธอจนเสียชีวิต โดยที่ทั้งคู่นั้นได้แต่ยืนดูตำรวจที่มายังที่เกิดเหตุด้วยความรู้สึกภูมใจในสิ่งที่ทำ เพราะตอนนั้นตำรวจก็ไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร และตอนนั้นเองพี่เสือก็คิดได้ว่าที่ตึกนั้นน่าจะเอามาทำโรงงาน เขาจึงเอาเรื่องนี้ไปบอกเฮียซ่งเรื่องมีคนตายในตึก จึงไปคุยเรื่องนี้กับชายอ้วนคนดูแลตึกให้ช่วยปล่อยข่าวลือว่ามีคนตายจนคนค่อยๆ ย้ายออกไปจากตึก และกันคนที่จะเข้ามาใหม่ให้ไปอยู่ที่ตกหนึ่งให้หมด จนโรงงานค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างและมีแรงงานต่างด้าวมาดูแลผลัดกับพี่เสือ

หลังจากที่นัดแนะกับชู้ แฟนพี่เสือก็มาเช่าห้อง 513 ที่ชั้น 5 เพื่อเตรียมการทุกอย่าง โดยพวกเขาพยายามฝึกซ้อมปาลูกบอลและยิงหน้าไม้จนสามารถกะจุดยิงได้โดยไม่พลาด ซึ่งกว่าจะกะจุดได้ตามที่ต้องการต้องใช้การฝึกอยู่หลายครั้งโดยการใช้เลเซอร์ช่วยเล็ง ซึ่งแรงงานพม่าเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ จนมาถึงวันเกิดเหตุแฟนพี่เสือก็มายืนยันที่อยู่ เมื่อเธอออกมาจากห้องก็ให้จังหวะที่แน่นอนก่อนลงมือ เพราะตัวเธอไปติดในกล้องวงจรปิดของตึกจึงต้องมีพยานหลักฐานที่แน่ชัด จนเมื่อหญิงสาวถึงร้านขายโทรศัพท์ที่ตนทำงานและมีพยาน เธอจึงโทรบอกคนร้ายให้ปาลูกบอลเป็นรหัสเปิดประตูจนพี่เสือเปิดตูมา เขาก็ถูกยิงทันทีด้วยหน้าไม้ก่อนจะเข้าไปในห้องและแอบอยู่ที่นั่นตลอดนับจากนั้นตามแผน

“ก๊อกก๊อก ก๊อก ก๊อกก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง 513 คนร้ายจึงมาเปิดประตู เพราะนั่นคือรหัสที่คนร้ายและแฟนพี่เสือตกลงกันเอาไว้ ซึ่งย้งยี้ก็เดาเอาว่าต้องเป็นแบบนั้นจึงลองเคาะดู จนเมื่อคนร้ายเดินมาเปิดประตูก็เจอย้งยี้และตำรวจยืนอยู่ ซึ่งตอนนั้นเองคนร้ายก็กำลังจะวิ่งหนีออกไปจากห้องแต่ก็ถูกย้งยี้ใช้ไม้เท้าถล่มภูผา ซึ่งเป็นกระบองยืดหดได้ที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงมาฟาดที่ขาคนร้ายจนล้มลง ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของตึกไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเลย

เรื่องราวจบลงด้วยดีคนร้ายถูกจับ เฮียซ่งก็ถูกจับไปพร้อมกับแรงงานพม่าและผู้ดูแลตึก ส่วนแฟนพี่เสือนั้นถูกจับในฐานผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่อคดีฆาตกรรม คดีจึงปิดลงด้วยดี

“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่ายายนี่ต้องไปเจอคดีจริงๆ “ลูกปลาน้อยพูดขึ้นทางโทรศัพท์เมื่อย้งยี้เล่าทุกอย่างให้ฟัง

“คงรู้สึกแย่มากๆ เลยนะแกที่ถูกหลอกแบบนี้” ฟ้าพูดถึงเรื่องพี่เสือที่ตอนแรกแฟนพี่เสือโกหกจนทำให้ย้งยี้รู้สึกผิดที่จะจับเขา ก่อนจะรู้ความจริงว่าพี่เสือนั้นก็คือคนร้าย

“ก็มีบ้างอ่านะ บอกตามตรงฉันเหนือยกับการเจออะไรแบบนี้แล้ว มันหนักเกินไปที่สาวน้อยตัวเล็กๆ อย่างฉันรับไหว” ย้งยี้ถอนหายใจเบาๆ

“แย่หน่อยนะแก” ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“สู้ๆ แกมีอะไรมาระบายกับพวกเราได้” ลูกปลาน้อยตะโกนเสียงดังให้กำลังใจย้งยี้

“ขอบใจแกสองคนมาก” ย้งยี้ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“หนูย้งของลุงอยู่ไหนเอ่ย” เสียงลุงอั้งดังขึ้นมาที่ประตู ย้งยี้จึงขอวางสายจากเพื่อนและมาหาชายแก่ที่มาพร้อมกับกล่องของขวัญใบใหญ่สองกล่อง

“ซื้ออะไรมาเยอะเลยเนี้ย” แม่ของย้งยี้พูดกับลุงอั้ง

“ก็ขอตอบแทนให้หลานสาวสุดที่รักที่ช่วยลุงจับดีวีดีเถื่อนรายใหญ่ แถมยังจับคนร้ายคดีฆาตกรรมได้ ทางตำรวจเลยตอบแทนด้วยรางวัลนำจับให้หนู ส่วนนี่ก็โทรศัพท์ที่ลุงซื้อให้ต่างหากพร้อมรายเดือนที่ลุงจ่ายให้เองเป็นการตอบแทน” ลุงอั้งส่งซองขาวใส่เงินและกล่องใส่โทรศัพท์มือถือที่เป็นรุ่นจอสัมผัสที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในตลาดให้ย้งยี้

“ขอบคุณคะลุง หนูรักลุงที่สุดเลย” ย้งยี้หอมแก้มชายแก่

“แล้วกล่องนี้ละคะ” แม่ของย้งยี้ถามขึ้นมา

“อันนี้น่าจะเป็นดีวีดีโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับพิเศษที่แถมตัวฟิกเกอร์เจ้าหญิงเบลแน่นอน” ย้งยี้รีบพูดขึ้นมา

“น่าจะใช่เพราะพ่อหนูส่งมาให้ลุงเมื่อเช้าบอกว่าให้หนูย้ง” ลุงอั้งบอก

“งั้นแกะเลยนะคะ” ย้งยี้เปิดกล่องใบใหญ่ทันทีด้วยความดีใจ ซึ่งภายในนั้นก็โทรศัพท์มือถือฝาพับพร้อมเข็มขัดและกระดาษอยู่หนึ่งใบในนั้น

ย้งยี้หยิบกระดาษมาอ่านด้วยความสงสัย “ลูกรักจงใช้สิ่งนี้แปลงร่างแล้วปกป้องโลกซะ รหัสแปลงร่างคือ 555 โทรออกแล้วพูดว่า เฮ็นชิน” ย้งยี้ขยำกระดาษด้วยความโมโหก่อนจะใช้โทรศัพท์ใหม่โทรไปโวยวายกับพ่อของตน

“พ่อนะพ่อ ลงทุนมากเลยนะนั่น” ย้งยี้บ่นดังๆ ระหว่างกดโทรศัพท์เพราะเธอจำเบอร์โทรของพ่อได้อย่างขึ้นใจ

ตี๊ดด ตี๊ดดด ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังที่หน้าบ้าน กับร่างของชายคนนึงที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกล่องดีวีดีโฉมงามกับเจ้าชายอสูรฉบับพิเศษที่แถมตัวฟิกเกอร์เจ้าหญิงเบลในมือ

“ทำได้ดีมากเลยนะลูก” พ่อของย้งยี้ยิ้มให้ลูกสาว....

ย้งยี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนรถบัสสายกรุงเทพบางสะพานในบ่ายแก่ๆ

“นี่เราฝันไปหรอเนี้ย” ย้งยี้บ่นกับตัวเองที่ฝันถึงเรื่องราวในอดีตสมัยเด็ก เพราะตอนนี้เธออายุ 16 ปีแล้วและกำลังเดินทางไปยังอำเภอบางสะพานเพื่อไปเรียนต่อชั้นมัธยม 4 ที่นี่ พร้อมกับเพื่อนทั้งสองคนที่ได้สัญญากันเอาไว้

รถบัสวิ่งเข้าจอดที่ร้านอาหารที่เป็นจุดแวะพักเมื่อมาถึงครึ่งทางของการเดินทาง ก่อนจะได้ยินเสียงพนักงานสาวสวยบนรถบัสบอกกับทุกคนบนรถว่า “แวะทานอาหาร 20 นาทีค่ะ”

...............................................จบ 
อ่านจบแล้วแต่อยากติดตามเรื่องราวของย้งยี้และเพื่อนๆ ต่อ ก็ซื้อหนังสืออ่านกันได้(รูปปกนิยายอยู่ด้านล่าง) รับประกันความสนุกยิ่งกว่า

สั่งซื้อได้ทาง inbox / วางเเผงในร้านหนังสือซีเอ็ด นายอินทร์ บีทูเอส เเละร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

สนใจสั่งซื้อหนังสือของสนพ. อาเธน่า จัดส่งทั่วไทย :

สั่งซื้อผ่าน inbox ของเพจ FB : m.me/Athenapublishinghouse

สั่งซื้อผ่าน Line : https://lin.ee/9qkRy4A

สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ Shopee : bit.ly/AthenaShopee

สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ lnwshop : http://athenapublishing.lnwshop.com

สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์นายอินทร์ : goo.gl/iCXjft

สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ซีเอ็ด : goo.gl/tWWQFe

สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์คิโนะคุนิยะ : goo.gl/XsxbkG

Meb Market E-book : bit.ly/MebAthena

Fictionlog E-book : bit.ly/AthenaFictionlog

อ่านตัวอย่างนิยายของสนพ. อาเธน่า :goo.gl/ZVzbFS