คุณเชื่อเรื่องแรงดึงดูดของโชคชะตาไหม
ประมาณว่าคนสองคนที่อยู่คนละซีกโลกแต่สุดท้ายก็บังเอิญมาเจอกันได้รักกันสร้างครอบครัวขึ้นมา
มันคือแรงดึงดูดที่บางประเทศก็เรียกว่าพรหมลิขิต บางที่ก็เรียกว่าด้ายแดงแห่งโชคชะตาที่นำพาคนสองคนใหม่รักกัน
ชั้นเองก็เชื่อเรื่องแบบนั้นมากๆ เพราะชั้นกับเก็นตะซังก็ได้มาเจอกันเพราะแรงดึงดูดแห่งโชคชะตาที่ว่านี้
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นในวันที่แสนธรรมดา
เมื่อเพื่อนของชั้นชวนให้มาดูนิทรรศการไดโนเสาร์ที่จัดขึ้นในตัวเมือง
ชั้นเองก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้หรอกแต่ก็ยังดีกว่าใช้วันหยุดนอนอยู่บ้านหลังจากที่ต้องทำงานมาทั้งอาทิตย์
ชั้นมาถึงงานก่อนเวลาเล็กน้อยและกำลังรอเพื่อนเพื่อจะเข้าไปในงาน
แต่มือถือของชั้นก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฮาโหลอายูมิ
ขอโทษนะพอดีแมวที่บ้านป่วยเลยต้องพาไปหาหมอ
วันนี้คงไปกับเธอไม่ได้แล้วขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไร
เดี๋ยวชั้นว่าจะเดินเล่นแล้วก็จะกลับ” ชั้นถอนหายใจเบาๆ
เมื่อวางสายก่อนจะเดินเข้าไปในงานเพียงคนเดียว
ภายในงานนั้นเต็มไปด้วยซากไดโนเสาร์มากมาย
จนชั้นเองที่ไม่สนใจก็อยากรู้ก็อยากเห็นแล้วว่ามันมีอะไรบ้าง
ชั้นเดินดูตู้แสดงกระดูกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินมาที่ตู้โชว์ด้านในที่ในนั้นมีซากกระดูกไดโนเสาร์มากมายมาตายกองรวมกันเป็นจุดเดียว
เหมือนที่นี่จะเป็นสุสานหรืออาจจะเป็นแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ เลยทำให้พวกมันพากันมาตายจนเหลือซากกระดูกเอาไว้
ในป้ายเขียนอธิบายเอาไว้อย่างนั้น และในระหว่างที่ชั้นกำลังสนใจอ่านป้านเพลินๆ ตอนนั้นเองมันก็เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างผลักชั้นเบาๆ
ให้เซไปที่ด้านข้างที่มีชายคนนึงยืนอยู่จนชั้นชนเขาเบาๆ ทำให้ชายคนนั้นเซเล็กน้อยจนชั้นรู้สึกอาย
“ขอโทษคะ พอดีชั้นเดินไม่ระวังเอง” ชั้นเซมาชนชายคนหนึ่งซึ่งเขาก็คือเก็นตะซังที่กำลังมองมาทางชั้นด้วยสายตาอ่อนโยน
เขาเป็นผู้ชายที่ดูหล่อในสายตาของชั้นมากๆ
“ไม่เป็นไรครับ
ผมเองก็ขอโทษที่เดินไม่ระวังเหมือนกัน เก็นตะซังขอโทษชั้นด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะเดินจากไป
แต่ตอนที่เขาเดินผ่านไปนั้นจู่ๆ ชั้นกับเขาก็เหมือนถูกดูดเข้าหากันด้วยอะไรบางอย่าง
ทำให้หลังเราสองคนกระแทกกันเบาๆ จนต่างคนต่างต้องหันมาขอโทษขอโพยเพราะคิดว่าตัวเองเซไปชนอีกฝ่าย
และพอรู้สึกตัวอีกทีมือเราสองคนก็จับกันแบบงงๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันตั้งตัว
จนเราสองคนรีบหดมือกลับด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“ขอโทษนะครับที่ทำเสียมารยาท
ถ้าคุณไม่รังเกลียดเอาเป็นว่าผมขอเลี้ยงอะไรเป็นการตอบแทนนะครับ” เก็นตะซังพูดสิ่งที่ชั้นคิดในใจ
เพราะตอนนั้นถ้าเขาไม่ชวนชั้นก็จะเป็นคนหาเรื่องชวนเอง
เราสองคนมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟข้างนอกที่จัดงาน
เก็นตะซังก็ดูเป็นสุภาพบุรุษเขาพยายามเดินห่างจากชั้นพอควร
แต่พอรู้สึกตัวกันอีกทีไหล่เราทั้งคู่ก็มาชนกันจนต้อเดินห่างออกมาจนมาถึงร้านกาแฟเราจึงนั่งคุยกัน
“เราสองคนนี่เหมือนมีแรงดึงดูดเข้าหากันเลยนะครับ”
เก็นตาซังพูดด้วยท่าทางเขินอาย ขณะที่ชั้นเองก็เขินไม่แพ้เขา “ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกดูดให้เดินมาทางนี้จนมาชนกับคุณ
เอ่อลืมแนะนำตัวเลยผมเก็นตะครับ” ชั้นหน้าแดงไปหมดเมื่อเก็นตะซังแนะนำตัว
“ชั้นอายูมิค่ะ”
ชั้นเองที่ก็รู้สึกแบบนั้นแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้
“โรแมนติกที่สุดเลยอ่ะแก
แล้วไงต่ออยากรู้ๆ” ชั้นเล่าประสบการณ์ความรักให้กับเพื่อนสาวที่อยากรู้ว่าชั้นกับเก็นตะซังเจอกันได้อย่างไร
“หลังจากนั้นเราก็มีแลกเบอร์นะแต่ชั้นก็ไม่กล้าโทรไป
ส่วนเก็นตะซังเขาก็มีโทรมานะแต่เจ้าตัวค่อนข้างงานยุ่งเราเลยไม่ค่อยได้คุยอะไร”
ชั้นบอกเพื่อนสาวที่รอฟัง
“เรารึก็ลุ้นว่าจะได้กุ๊กกิ๊กเสียอีก”
“แต่หลังจากนั้นเราสองคนก็บังเอิญเจอกันตลอด
ไม่ว่าจะไปต่างประเทศหรือบางทีก็เจอกันในที่ๆ
ไม่น่าเจออย่างบ้านนอกบนภูเขาอะไรแบบนั้น
จนชั้นยังแอบคิดเลยว่าเก็นตะซังเขาคือคนโรคจิตที่ตามชั้นรึเปล่า
ส่วนทางนั้นก็คิดแบบเดียวกัน อย่างตอนที่เราไปทริปบ่อน้ำร้อนที่นาริตะที่นั่นชั้นก็เจอเก็นตะซัง
แต่ชั้นคิดว่าเขาคือโรคจิตที่แอบตามเลยไม่กล้าทักหรือบอกแก จนสุดท้ายเราสองคนก็รู้ว่ามันคือเรื่องบังเอิญจริงๆ
มีอยู่ครั้งนึงชั้นเห็นเก็นตะซังที่ร้านปาจิโกะชั้นเลยพยายามเดินหนีเขาเพราะกลัวว่าเขาคือโรคจิต
แต่พอเดินมาขึ้นรถไฟก็กลายเป็นว่าเราสองคนมานั่งคู่กันซะงั้น”
แน่นอนว่าใครที่ได้ยินเรื่องของเราสองคนก็ต้องอิจฉาด้วยกันทั้งนั้น
แม้แต่ชั้นเองยังแอบอิจฉาตัวเองที่เป็นอย่างนี้เลย
“แบบนี้เขาเรียกว่าโชคชะตากำหนดให้เจอกัน
อิจฉาคู่แกสองคนมากๆ” เพื่อนสาวบอกกับชั้น
หลังจากนั้นเราสองคนก็ตกลงใจคบกันเป็นแฟนหลังจากที่ฝืนทนโชคชะตาไม่ไหว
เพราะยิ่งเราเจอกันเราสองคนก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรเหมือนกัน และนอกจากสิ่งที่เรียกว่าการพบเจอของโชคชะตาแล้ว
เรายังมีหลายๆ อย่างที่เหมือนกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความคิดความรู้สึกไปจนถึงความชอบที่ชั้นกับเก็นตะซังชอบไปเที่ยวป่า
พอคบกันเราจึงไปเที่ยวป่าด้วยกันตลอด
“พร้อมนะอายูมิ”
เก็นตะซังบอกกับชั้นเพราะคราวนี้เราจะไปเที่ยวป่าที่ต่างกับที่อื่น
เพราะมันเป็นป่าที่ตกสำรวจยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา เราสองคนจึงตกลงใจกันว่าจะไปนอนค้างแรมในป่านั้นกันสองคนเพื่อดูดาว
แล้วก็พูดคุยอนาคตกันสองคนว่าจะทำอะไรอย่างไรต่อไป มันคงจะเป็นทริปที่โรแมนติกสุดๆ
ในความคิดของชั้นแต่ความฝันนั้นก็ต้องพังทลายลงเพราะพายุฝนบ้าบอที่จู่ๆ
ก็พัดกระหน่ำมาจนเราเก็บของไม่ทันตั้งตัว
“รีบกลับไปที่รถกันเถอะอยู่ที่โล่งแบบนี้มันอันตราย”
เก็นตะซังตะโกนบอกชั้นเมื่อไม่สามารถเก็บเต็นท์ที่ปลิวไปได้
เราทั้งคู่เก็บสำภาระเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าและรีบวิ่งไปที่รถทันที
และตอนนั้นเองก็มีเสียงฟ้าฝ่าลงมาตรงจุดที่เราสองคนอยู่แบบไม่ทันตั้งตัว
สิ่งสุดท้ายที่ชั้นเห็นคือแสงจ้าจนแสบตาก่อนจะสลบไป
“ฟื้นแล้วหรออายูมิ”
คุณแม่ดีใจที่ได้เห็นชั้นลืมตา ท่านบอกชั้นกับเก็นตะซังถูกฟ้าฝ่าลงมา
แต่โชคดีที่ชั้นกับเก็นตะซังไม่เป็นอะไร
เราสองคนเป็นคู่แรกในโลกที่ถูกฟ้าฝ่าลงมาแล้วไม่เป็นอะไร ชั้นพักรักษาตัวอยู่หลายวันโดยที่ไม่ได้เจอเก็นตะซังเลย
แต่เราก็โทรศัพท์หากันตลอด ซึ่งทางเก็นตะซังก็ดูแข็งแรงดี เพราะหมอเองก็แปลกใจที่เราสองคนรอดมาได้ยังไงทั้งที่โดนฟ้าฝ่าไปขนาดนั้น
จนเมื่อตรวจตรวจร่างกายของเราสองคนเกินพอเราทั้งคู่จึงกลับบ้านได้
เมื่อออกจากโรงพยาบาลรุ่งขึ้นชั้นกับเก็นตะซังก็นัดเจอกันทันที
ก็คนมันไม่ได้เจอกันต้องคิดถึงกันอยู่แล้วนี่นา
“เก็นตะซัง”
ชั้นกับเก็นตะซังโบกมือเรียกเขาที่หน้าสถานีรถไฟ
ซึ่งพอเก็นตะซังวิ่งมาไม่ทันจะถึงชั้นจู่ๆ ชั้นก็เหมือนถูกผลักเบาๆ
จนล้มลงก้นกระแทกพื้น
“เป็นอะไรไม๊” เก็นตะซังมาพยุงชั้น
“ไม่เป็นไร
เราไปหาอะไรกันกันเถอะ” ชั้นชวนเก็นตะไปหาอะไรกิน
แต่ระหว่างเดินจากที่เราสองคนแทบจะถูกดูดให้ตัวติดกัน แต่คราวนี้จู่ๆ
เราสองคนยิ่งเดินยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ
“แกทางนั้นหมดโปรรึเปล่า
แบบไปเจอคนอื่นเลยพยายามจะเลี่ยงเดินห่างๆ แกอะไรแบบนั้น” เพื่อนสาวออกความเห็น
“ตอนแรกชั้นก็คิดแบบนั้นนะ
แต่พอเจอกันหรือถ้าฝ่ายหนึ่งขยับเร็วๆ
จะเหมือนมีแรงอะไรบางอย่างมาผลักเราสองคนให้ห่างกันจน
แกเชื่อไม๊ว่าชั้นหกล้มก้นกระแทกพื้นไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ตอนนั้น
จนชั้นคิดว่าเป็นเพราะฟ้าฝ่าจนสมองมีปัญหารึเปล่า
แต่พอไปตรวจทั้งคู่ก็ปกติจนชั้นเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร” ชั้นบอกเพื่อนสาว
ตกเย็นเก็นตะซังก็มารับชั้นที่ทำงาน
เราสองคนพยายามเดินไม่ให้เซล้มและพยายามจับมือเก็นตะซังหรือทางนั้นจะมาจับ ก็จะเหมือนมีแรงบางอย่างผลักเราสองคนออกไป
แต่เมื่อเราสองคนไม่ยอมแพ้ก็ไปสามารถจับมือกันได้
ซึ่งตอนแรกมันก็โอเคนะไม่มีปัญหาอะไร แต่นานวันเข้าแรงผลักที่มีก็มากขึ้น
มือเราสองคนสั่นเหมือนอีกฝ่ายพยายามจะปล่อยมือ
จนชั้นมองมาทางเก็นตะซังที่ก็มองมาทางชั้นด้วยสายตาที่งุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน
ทั้งที่เมื่อก่อนเหมือนจะมีด้ายแดงแรงดึงดูดให้เรามาเจอกัน แต่คราวนี้มันกลับพยายามผลักกันทั้งที่เราทั้งสองคนก็ยังรักกันไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนใจหรือมีคนอื่น
และตอนนั้นเองจู่ๆ
ก็เหมือนมีแรงผลักบางอย่างดีดตัวชั้นให้กระเด็นไปบนถนนที่มีรถบรรทุกกำลังวิ่งอยู่พอดี
“อายูมิ”
เก็นตะที่จะวิ่งมาช่วยชั้นที่กำลังถูกรถชน แต่ตอนนั้นเองชั้นกลับถูกแรงผลักบางอย่างที่น่าจะมาจากเก็นตะซังผลักจนกระเด็นข้ามมาอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
หลังจากนั้นเราสองคนก็ไปปรึกษาหมอเกี่ยวกับแรงผลักที่มันค่อยๆ
แรงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เราสองคนแทบอยู่ใกล้กันไม่ได้ไปแล้ว เหมือนแม่เหล็กที่ขั้วเดียวกันจะผลักกัน จนเราสองคนต้องโทรศัพท์คุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งเราอยู่ห่างกันก็ยิ่งคิดถึงกัน
“หรือจะเป็นเพราะฟ้าที่ฝ่าลงมาตอนนั้นที่สลับขั้วเราสองคน
มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะมีเหตุผลไปมากกว่านี้แล้ว” เก็นตะซังออกความเห็น “ผมคิดถึงคุณอยากอยู่ใกล้ๆ
คุณ แต่ยิ่งผมอยากอยู่กับคุณมากเท่าไหร่แรงผลักมันยิ่งมากขึ้น”
“ชั้นเองก็รู้สึกแบบนั้น
ถ้าอย่างนั้นเรามาทำมันอีกครั้งดีไหม” ชั้นออกความเห็น
เมื่อตกลงกันได้เราสองคนได้กลับไปยังจุดที่เคยถูกฟ้าฝ่าและพักอยู่แถวนั้นนานเป็นเดือน
โดยที่ทำได้แค่โทรศัพท์พูดคุย เพื่อรอให้มีฝนตกและฟ้าฝ่าแบบที่เคยเกิดขึ้นวันนั้น
จนวันนั้นก็มาถึงวันที่ฟ้าจะฝ่าลงมาตามที่เราต้องการ
“ฟ้าฝ่ามาแล้วเราไปกันเถอะอายูมิจัง”
เก็นตะซังพูดด้วยความดีใจ
“แต่เราสองคนอยู่คนละที่แบบนี้จะถูกฟ้าฝ่าพร้อมกันได้อย่างไง”
ชั้นถามสิ่งที่ตนเองสงสัยตั้งแต่มาที่นี่แล้ว ซึ่งเก็นตะก็ไม่บอกจนถึงตอนนี้
“ไม่ต้องห่วงผมไปศึกษามาแล้วว่าถ้าคนนึงโดนฟ้าฝ่าคนนั้นจะต้องโดนสลับขั้วแน่ๆ
ทีนี้เราสองคนจึงยืนลุ้นว่าใครจะโดนฟ้าฝ่า
และถ้าเรารอดไปได้เราก็จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง” เก็นตะซังบอกกับชั้น
แม้จะกลัวการโดนฟ้าฝ่าแต่การอยู่โดยเข้าใกล้เก็นตะซังไม่ได้มันคือนรกที่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
เมื่อคิดแบบนั้นเราทั้งคู่จึงยอมเสี่ยงโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จไหม
เราสองคนยืนอยู่กลางทุ่งที่มีฟ้าฝ่าลงมา
สายตาของเราสองคนจับจ้องกันในความมืดแม้จะอยู่ไกลกันแต่เราก็รู้สึกถึงกันได้ตลอดเวลา
และตอนนั้นเอง
เปรี้ยง เสียงฟ้าฝ่าลงมาตรงจุดที่เก็นตะซังอยู่เต็มๆ เหมือนเมื่อตอนนั้น ซึ่งชั้นที่อยู่ในระยะก็โดนลูกหลงจนสลบไปด้วย
“อายูมิ
อายูมิ” เสียงแม่ชั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
สีหน้าของแม่ดูไม่ค่อยจะยินดีเมื่อเห็นชั้นตื่นขึ้นมาเหมือนคราวก่อน
ละครั้งนี้ชั้นรู้สึกหนักๆ ที่ตัวและได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลอดเวลา
จนชั้นต้องจับผมตัวเองว่าไหม้ไฟรึเปล่า แต่แล้วชั้นก็เจอต้นตอของกลิ่นเหม็นไหม้
เพราะมันมาจากร่างที่ดำเป็นตอตะโกของใครบางคนที่นอนข้างๆ ชั้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเอาศพมานอนข้างๆ หนูละแม่” ชั้นถามแม่ด้วยความตกใจ
“แม่เองก็ไม่รู้
พอมาถึงโรงพยาบาลร่างลูกกับเก็นตะก็ตัวติดกันจนหมอเอาไม่ออก
ไม่ว่าจะดึงอย่างไรสุดท้ายเก็นตะก็จะลอยมาติดกับลูกทุกครั้ง”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
ขณะที่ชั้นมองร่างของเก็นตะซังที่ตอนนี้กลายเป็นศพไหม้เป็นตอตะโกติดที่ร่างของชั้น
ใบหน้าของเก็นตะซังดูน่ากลัวมากๆ จนชั้นหมดสติไปหลายครั้ง และไม่ว่าหมอจะพยายามแกะร่างของเก็นตะซังเท่าไรก็ตาม
ไม่นานร่างนั้นก็จะลอยมาติดกับชั้นที่นอนอยู่ แม้แต่ตอนที่ฝังอยู่ในหลุมหรือเข้าเตาเผา
ชิ้นส่วนของเก็นตะซังก็ยังลอยมาติดตัวชั้น
เหมือนแม่เหล็กที่ถูกเปลี่ยนขั้วจะแรงมากขึ้น และตอนนี้เศษเนื้อของเก็นตะซังก็เริ่มซึมเข้ามาในร่างจนจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับชั้นไปแล้ว.....

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น