ทำไมเกมที่สร้างเป็นภาพยนตร์ถึงไม่ตรงกับเนื้อหาในเกม


นับตั้งแต่อดีตตั้งแต่มีการสร้างภาพยนตร์จากวิดีโอเกมขึ้นมาบนโลก เราก็ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ต่างจากเกมที่เราเล่น เพราะจากเดิมที่เราจะได้เห็นแค่ตัวละครในเกมเดินเตะต่อยกระโดดไปมาแบบไร้ชีวิต เราก็ได้เห็นโลกของเกมที่มีชีวิตผ่านทางภาพยนตร์ กับเรื่องราวที่ดำเนินไปตามในเกมที่เราเล่น แต่สิ่งที่คนเล่นเกมได้รับเกือบทั้งหมดนั้นคือความผิดหวัง ที่พอจะทำได้เกือบดีก็พอมีบ้าง แต่ที่ดีหรือดีมากนั้นแทบไม่มี จนแฟนเกมหลายคนเลิกหวังเมื่อมีการประกาศสร้างภาพยนตร์จากเกมขึ้นมา แต่เมื่อมีภาพหรือวิดีโอตัวอย่างขึ้นมาก็ทำให้แฟน ๆ เกมมีความหวังขึ้นมา ก่อนที่จะผิดหวังไปอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้คนที่ไม่ได้เล่นเกมหรือชื่นชอบซีรีส์เกมที่เล่นอาจจะไม่เข้าใจในมุมมองนี้ ขณะที่คนเล่นเกมที่ผิดหวังก็อาจจะไม่เข้าใจมุมมองของทีมสร้างภาพยนตร์ ว่าเพราะอะไรเขาถึงทำให้ภาพยนตร์เป็นแบบนี้ วันนี้เรามาดูเหตุผลต่าง ๆ ว่าทำไมภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกมถึงได้ออกมาไม่ดีเพราะอะไร เพื่อให้คนที่ไม่ได้เล่นเกมจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนเล่นเกมว่าเขารู้สึกอย่างไร และให้คนที่เล่นเกมทราบว่าทำไมคนสร้างภาพยนตร์ถึงได้ไม่ทำภาพยนตร์ให้เหมือนในเกม เรามาวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กันเลย

ภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกมเรื่องแรกของโลก

เริ่มต้นเรื่องแรกก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลัก เรามาดูกันดีกว่าว่าวิดีโอเกมแรกที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์คือเรื่องอะไร คำตอบนั่นก็คือเรื่อง ‘Super Mario Bros’ ที่ออกฉายเมื่อปี 1993 กับเรื่องราวของสองช่างประปามาริโอ (Mario) และ ลุยจิ (Luigi) ที่ต้องเดินทางไปยังโลกมิติคู่ขนานที่เมื่อ 65 ล้านปีก่อนอุกกาบาตตกสู่พื้นโลกไม่ได้ฆ่าไดโนเสาร์ แต่แยกจักรวาลออกเป็นสองมิติคู่ขนานกัน โดยไดโนเสาร์ที่รอดตายได้พัฒนาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และได้จับตัว เจ้าหญิงเดซี่ (Princess Daisy) รักแรกของนายลุยจิที่ถูกเหล่าไดโนเสาร์จับไป ทั้งสองพี่น้องจึงต้องไปช่วย ซึ่งเอาแค่เนื้อเรื่องที่เราบอกมานั้นก็แทบไม่มีความเป็นเกม ‘Super Mario Bros’ อยู่เลย ซ้ำร้ายตัวภาพยนตร์ยังใส่อะไรอีกหลายอย่างที่ถ้าไม่บอกว่านี่คือภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม ‘Super Mario Bros’ เราก็คงไม่รู้เลย ซ้ำร้ายกว่านั้นรายได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่ำเตี้ย ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 38.9 ล้านเหรียญสหรัฐ นับจากนั้นทาง ‘Nintendo’ ก็ไม่เคยปล่อยเกมตัวเองให้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์อีกเลย ส่วนเกมที่สองที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์คือเรื่อง ‘Double Dragon’ และ ‘Street Fighter’ ในปีเดียวกัน ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ตามรอย ‘Super Mario Bros’ มาแบบทุกอย่าง ทั้งเนื้อเรื่องที่ไม่ตรงในเกม เรื่องราวที่ไม่สนุกตัวเอกที่ไม่มีมิติไปจนถึงการบิดเบือนเนื้อหาไปจนแฟนเกมยุคนั้นต่างสาปส่ง แต่ถ้าสะกดจิตตัวเองว่านี่คือภาพยนตร์แอ็กชันทั่วไปก็พอจะทำใจดูได้แถมสนุกมาก ๆ ด้วย แต่เมื่อมันคือภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมมันจึงไม่มีความสนุกอยู่เลย ใครที่สนใจก็ไปหามาดูกันได้ แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องราวนี้มันมีมาตั้งแต่อดีตแล้วไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นตอนนี้


ปัญหาหลักคือบทของเกมกับภาพยนตร์ที่ต่างกันเกินไป

คราวนี้มาดูปัญหาของสิ่งที่คนเขียนบทผู้กำกับภาพยนตร์ต้องเจอ เมื่อต้องสร้างภาพยนตร์จากเกมก็คือ เนื้อหาของวิดีโอเกมนั้นไม่สามารถเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ ยกตัวอย่างเกมในซีรีส์ ‘Resident Evil’ อย่าง ‘Resident Evil Welcome To Raccoon City’ ที่เราได้เห็นไป ซึ่งถ้าใครที่ได้เล่นเกมทั้ง 2 ภาคมาคงจะทราบดีว่าตัวเกมมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจน่าติดตาม แต่ระหว่างกว่าที่เกมจะเข้าสู่เนื้อเรื่องคนเขียนบทเขาต้องใส่อะไรลงไป จะให้ตัวนักแสดงวิ่งไปวิ่งมาเอาอันนั้นมาใส่อันนี้วิ่งหาประตูเปิดแบบในเกมก็ไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนั้นทางทีมคนเขียนบทจึงต้องสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อให้เนื้อเรื่องมันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทางที่ดีที่สุดก็คือการแต่งเรื่องราวขึ้นมาใหม่จะง่ายที่สุด และการสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่มันก็จำเป็นต้องมีตัวละครใหม่หรือตัวละครในเกมที่เพิ่มเข้ามาแบบไม่ตรงตามในเกม เพราะบางเกมนั้นมีแค่ตัวเองคนเดียวทั้งเรื่องก็คงไม่ดี หรือบางเกมนั้นก็มีเนื้อเรื่องที่กระจัดกระจายอย่าง ‘Street Fighter’ ที่มีตัวละครถึง 12 คนจะเอาทุกคนมาใส่ได้อย่างไร และควรเอาตัวละครไหนมาเป็นพระเอกแล้วคนดูจะชอบไหม จนกลายเป็นว่าการสร้างเนื้อเรื่องใหม่ก็ไม่ถูกใจแฟน ๆ เพราะมันไม่มีเนื้อหาตรงในเกม เพราะการสร้างเนื้อเรื่องใหม่มันทำได้แต่สิ่งที่ทำก็ควรสร้างให้มีบรรยากาศความรู้สึกและอารมณ์ของเกมอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเกมที่แต่งเนื้อเรื่องใหม่ที่ต่างจากเกมแต่ออกมาดีอย่าง ‘Sonic the Hedgehog’ และ ‘Pokémon Detective Pikachu’ ที่เอาจริง ๆ เนื้อเรื่องของสองเรื่องนี้ไม่ตรงตามในเกมเลย แต่ทีมพัฒนาใส่อารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศของเกมลงไป ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คนเขียนบทขาดไป


บรรยากาศในเกมที่คนเล่นเกมคืออะไร

จากหัวข้อก่อนที่เราพูดถึง อารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศของเกมว่ามันคือหัวใจหลักที่ภาพยนตร์จากเกมต้องมี ไม่ใช่แค่เอาตัวละครที่แต่งตัวตามในเกมหรือมีฉากตามในเกมมาอยู่ในภาพยนตร์เท่านั้น แต่มันคือความรู้สึกที่เกมนั้น ๆ มี อย่างเช่นสิ่งที่ภาพยนตร์ ‘Resident Evil’ ควรมีคือความหลอนสยองขวัญเอาชีวิตรอด ไม่ใช่วิ่งไปไล่ยิงผีเป็นผู้มีพลังพิเศษที่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมไปหมด ที่ขนาดทาง ‘Capcom’ ที่ให้กำเนิดเกมมาทำภาพยนตร์ยังหลงทางเปลี่ยนเกมสยองขวัญเป็นเกมแอ็กชันยอดมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศของเกมนั้น ก็หมายถึงเอกลักษณ์ของเกมนั้น ๆ มี อย่างเกม ‘Doom’ คุณคงคิดถึงความสนุกของการไล่ยิงปีศาจจากนรกพร้อมเพลงกระแทกหู ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการไปเปิดประตูนรกบนดาวอังคาร ไม่ใช่หน่วยพิเศษที่ถูกส่งไปดาวอังคารจนเจอสัตว์ประหลาดไล่ฆ่า ก่อนที่ตัวภาพยนตร์จะปิดท้ายด้วยมุมมองบุคคลที่ 1 ที่ไล่ยิงสัตว์ประหลาดแบบในเกมที่บอกว่าเราเคารพเกมนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ ‘Doom’ แบบที่แฟน ๆ ต้องการเลย ซึ่งสิ่งที่ภาพยนตร์ควรทำคือฉากยิงแหลกตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับเนื้อเรื่องที่ใส่ลงไปเพื่อหาเหตุผลให้ตัวเอกไปลุย แบบนั้นจะเป็น ‘Doom’ มากกว่า แล้ว เอกลักษณ์ของเกม กับ อารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศของเกม มันคืออะไรกันแน่ คำตอบก็คือเนื้อเรื่องที่ตรงตามในเกม ที่ไม่ใช่แบบ 100% แค่เอาโครงเรื่องหลักมาใช้และใส่อารมณ์ของตัวละครลงไป ยกตัวอย่าง ‘Sonic the Hedgehog’ อีกครั้ง ที่เนื้อเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ตรงในเกมเลย แต่ตัวภาพยนตร์กลับใส่ความเป็น โซนิค (Sonic) ที่แฟน ๆ รู้จักลงไปแบบครบถ้วน แถมยังเพิ่มมิติให้ตัวละครที่เข้ากับเรื่องราวใหม่ที่ลงตัว เพราะเอกลักษณ์และบรรยากาศของเกมนี้คือการวิ่งเพื่อต่อสู้กับตัวร้าย ที่โซนิคมันต้องวิ่งไปต่อสู้ไปแบบในเกมที่ในภาพยนตร์ก็ดึงเอกลักษณ์นั้นออกมาได้เป็นอย่างดี ที่ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นเกมซีรีส์นี้มาจะเข้าใจทันที ซึ่งนี่คือสิ่งที่แฟน ๆ เกมอยากเห็นแต่คนเขียนบทกับผู้กำกับกลับไม่เข้าใจในจุดนี้


สร้างภาพยนตร์ที่เนื้อเรื่องตรงในเกมเลยได้ไหม

ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วถ้าถามว่าการสร้างเนื้อเรื่องตรงตามในเกมไปเลยได้ไหม ก็บอกเลยว่าทำได้แถมง่ายมาก ๆ ด้วย อย่างเช่นซีรีส์ ‘Silent Hill’ ทั้งสองภาคที่ถูกสร้างออกมานั้นก็มีเนื้อเรื่องคล้ายในเกม แต่น่าเสียดายที่ในตอนกลางถึงตอนท้ายเนื้อหาของทั้งสองภาคนั้นกลับเปลี่ยนไปจนไม่มีความเป็น ‘Silent Hill’ อย่างที่แฟน ๆ ต้องการ เพราะแทนที่ตัวเกมจะใช้การหักมุมแบบในเกมหรือใส่ความหลอนของตัวละครลงไป ตัวภาพยนตร์กลับเลือกที่จะฉีกออกไปเป็นเนื้อเรื่องใหม่แทน ยิ่งในภาพยนตร์ภาค 2 ยิ่งหนักเพราะตัวเกมต้นฉบับทำออกมาได้ดีมาก ๆ เกี่ยวกับการเดินทางของตัวเอกที่ต้องเจอเรื่องต่าง ๆ ก่อนจะมาสรุปเกี่ยวกับการให้กำเนิดพระเจ้า แต่ภาพยนตร์กลับมาเปลี่ยนเป็นความรัก แถมยังให้มันเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ภาคแรกแบบไม่มีเหตุผล หรือจะเป็น ‘Tomb Raider’ ในปี 2018 ที่ถ้าตัวภาพยนตร์สร้างตามในเกมกับการเดินทางช่วยเพื่อนที่ถูกคนบ้าจับไป จนเจอกับซามูไรหลงยุคคนบ้าลัทธิกับการหนีตายของตัวเอกแบบในเกมละก็ตัวเกมจะสนุกกว่านี้มาก ๆ แต่ในภาพยนตร์กับเลือกจะเดินตามสูตรสำเร็จหนังแอ็กชันผจญภัย นั่นคือการไปตามหาพ่อเพื่อไขปริศนาที่สุดท้ายพ่อก็ตาย ที่ตามสูตรภาพยนตร์ที่คนดูภาพยนตร์มาเยอะจะรู้ได้ทันที หรือจะเป็นภาพยนตร์เก่าบ้างอย่าง Street Fighter’ ที่ฉายในปี 1992 ที่เอาจริง ๆ เนื้อเรื่องนี้ก็มีตรงตามในเกมแค่เปลี่ยนมาเล่าเรื่องราวของ ไกล์ (Guile) มาเป็นตัวเอกเหมือนที่เราเล่นเป็นไกล์จนจบเกม แต่สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดไปคือความเป็นเกมที่ควรใส่ลงไป ไม่ใช่ยัดความเป็นอเมริกันฮีโรลุยเดี่ยวไปอัดศัตรู หรืออีกเรื่องที่ก็ซ้ำรอยเดียวกันอย่าง Street Fighter The Legend of Chun-Li’ ที่เนื้อเรื่องหลักคือตรงตามในเกมตามประวัติของ ชุนลี (Chun-Li) แต่ตัวภาพยนตร์กับเลือกที่จะเปลี่ยนบทสลับตัวละครจนแทบไม่มีความเป็น Street Fighter’ เสียอย่างนั้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาถ้าภาพยนตร์สร้างตามเนื้อเรื่องเกม มันจะออกมาดีกว่านี้แน่นอน


ไม่อยากให้มีเนื้อเรื่องเหมือนในเกมเพราะคนเล่นเกมจะเดาทางได้

มาดูเหตุผลที่ทางคนเขียนบทและผู้กำกับบอกกับเราบ้าง เกี่ยวกับการไม่สร้างเนื้อเรื่องตรงกับในเกมไปเลย นั่นก็เพราะการสร้างเนื้อเรื่องตรงกับในเกมจะทำให้คนที่เล่นเกมเดาเนื้อเรื่องได้ จนทำให้คนที่เล่นเกมบอกปากต่อปากว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันตรงตามในเกมไปเลยไม่ต้องไปดูหรอก ซึ่งนั่นคือความคิดที่ผิดมาก ๆ  เพราะสิ่งที่คนเล่นเกมต้องการจากภาพยนตร์คือเรื่องราวที่ตรงกับในเกม ที่ยิ่งเหมือนยิ่งดีซึ่งนักวิจารณ์ภาพยนตร์คิดว่านั่นคือข้ออ้างของคนเขียนบทและกำกับเสียมากกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนเกมหรือนิยาย สิ่งที่เราจะได้เห็นอย่างหนึ่งเลยก็คือการไม่อยากทำซ้ำของเดิมแต่อยากเปลี่ยนให้เป็นแบบของตัวเอง เหมือนให้เรามาขยายแต่งเนื้อเรื่องที่คนอื่นทำเอาไว้ มันเหมือนดูถูกความสามารถของคนเขียน ดังนั้นจึงเปลี่ยนเนื้อเรื่องเสีย หรืออาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องที่มีนั้นมันจำเจเลยเปลี่ยนให้ดูน่าสนใจ  แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ไปเสียอย่างนั้น เช่นกลุ่มตัวเอกเดินทางไปสถานที่หนึ่งจนเจอฆาตกรโรคจิตฆ่าเพื่อนในกลุ่มตายทีละคน สุดท้ายเหลือเพียงตัวเอกหนีตายเอาชนะศัตรูจบ หรือตัวเอกตามหาพ่อแม่และไปเจอศัตรูจนต่อสู้กันพ่อแม่ตายแต่ก็แก้ปริศนาได้จบ ไปจนถึงอเมริกันฮีโรที่ข้ามาคนเดียวทำลายทั้งกองทัพ ที่ในวงการเกมเราเลิกใช้การแต่งเรื่องราวแบบนี้มานานแล้ว แต่คนเขียนบทหลายคนยังยัดเยียดเนื้อหาแบบนี้ลงไปในเนื้อเรื่องเกมที่สร้างจากภาพยนตร์


ต้องสร้างภาพยนตร์ที่คนไม่เล่นเกมก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ด้วย

อีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้กำกับคนเขียนบทบอกกับเรา นั่นคือการสร้างภาพยนตร์จากเกมนั้นต้องทำมาเพื่อขายคนที่ไม่ได้เล่นเกมให้สนุกได้ด้วย แต่ด้วยเนื้อเรื่องของเกมที่หยิบมาสร้างนั้นบางทีมันมีเนื้อเรื่องซับซ้อนมากเกินไป จนคนที่ไม่ได้เล่นเกมมาอาจจะงงจนดูไม่รู้เรื่อง จึงต้องเปลี่ยนเนื้อเรื่องแก้บทเสียใหม่ให้มันย่อยง่ายสำหรับคนที่ไม่เล่นเกม ซึ่งก็ใช่และถูกต้องที่ทีมสร้างภาพยนตร์ทำแบบนี้ เพราะถ้าทำมาเพื่อเอาใจคนเล่นเกมแบบไม่สนใจคนที่ไม่เล่นเกมจะดูเรื่องไหมมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ก็มีภาพยนตร์ที่ทำแบบนี้มาแล้วอย่าง ‘Warcraft’ ในปี 2016 ที่ถ้าใครไม่เคยเล่นเกมซีรีส์ ‘Warcraft’ มาก่อนต้องมีงงอย่างแน่นอนว่าคนนี้คือใคร คนนี้ทำไมมาเป็นแบบนี้ แต่ก็อย่าลืมว่าหลาย ๆ เกมนั้นก็คือเรื่องราวภาคแรกมีการเริ่มต้นเรื่องราวเหมือนกัน การสร้างเนื้อเรื่องที่ไม่ตรงในเกมจึงเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น หรือจะเป็นอีกทางที่คนเขียนบทผู้กำกับเลือกทำนั่นคือการสร้างเนื้อเรื่องก่อนเกม ซึ่งมันก็เป็นทางเลือกที่ถูก แต่ก็อย่าลืมว่าคนเล่นเกมเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องราวก่อนเกม แต่เขาอยากรู้เรื่องราวในเกมแถมการทำเนื้อเรื่องก่อนเกมบางทีก็จับตัวละครมาใส่แบบมั่ว ๆ ไม่ตรงกับในเกมอย่าง ‘Mortal Kombat’ 2021 ที่ผ่านมา กับการสร้างเรื่องราวก่อนเกมภาคแรกที่พอดำเนินไปก็เริ่มไม่ตรงกับในเกม แถมในเรื่องยังตัดตัวละครในเกมออกไป และที่แย่สุดคือการไม่ใส่ตัวละครหลักที่สำคัญลงไป จนกลายเป็นเรื่องราวที่แฟน ๆ ไม่ถูกใจ พอ ๆ กับ ‘Mortal Kombat’ ในปี 1995 ที่ก็มาทรงเดียวกัน ที่ตอนแรกก็ตรงกับในเกมดีแต่พอมาตอนกลางจนถึงท้ายเนื้อเรื่องก็รวนและมั่วจนไม่เหมือนในเกม ดังนั้นการแต่งเนื้อหาให้คนที่ไม่ได้เล่นเกมดูสนุกด้วยคือสิ่งดี แต่ก็ไม่ควรเปลี่ยนจนบิดเบือนสิ่งที่เนื้อเรื่องเกมมี


คนสร้างภาพยนตร์คนเขียนบทไม่รู้จักเกมนั้นดีพอ

คราวนี้มาดูปัญหาหลักที่มักจะเกิดขึ้นที่ต่อเนื่องจากหัวข้อก่อน นั่นคือคนสร้างภาพยนตร์คนเขียนบทไม่รู้จักเกมนั้นดีพอ แบบประมาณว่าคุณได้รับหน้าที่ให้เขียนบทภาพยนตร์จากเกมนี้  สิ่งที่ผู้กำกับกับคนเขียนบททำนั่นคือการหาเกมภาคนั้น ๆ มาเล่น ซึ่งจะเล่นจบไม่จบไม่รู้แต่แค่เล่นเพื่อเอาความรู้สึกเพื่อให้เห็นภาพโดยรวมของภาพยนตร์ว่าจะต้องออกมาทางไหน ซึ่งการจับเกมมาเล่นแค่ภาคเดียวมันไม่ทำให้คุณรู้จักเกมนี้ เท่ากับคนที่เขาเล่นเกมซีรีส์นี้มาหลายปีอย่างคนเล่นเกม ที่ขนาดที่ว่าตัวเกมชื่อเดียวกันระบบเหมือนกันที่เป็นภาคต่อ แต่อารมณ์ความรู้สึกสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปคนเล่นยังรู้เลย ดังนั้นสิ่งที่ทีมพัฒนาคนเขียนบททำคือการหาคนที่รู้จักเล่นเกมนี้จริง ๆ มาให้ข้อมูลเยอะ ๆ หรือติดต่อไปทางทีมพัฒนาเกมเพื่อขอสิ่งที่ควรมี  ไม่ใช่แค่ไปเปิดวิดีโอตัวละครในเกมให้ค่ายเกมดู แล้วถามว่าควรเปลี่ยนอะไรตรงไหน แทนที่จะถามว่าเนื้อเรื่องควรต้องแก้ยังไง เพราะสิ่งที่ดีงามในภาพยนตร์ ‘Sonic the Hedgehog’ และ ‘Pokemon Detective Pikachu’ ออกมาดีเพราะทีมพัฒนาคนเขียนบทประสานงานกับค่ายเกม เพื่อให้อารมณ์ของเกมออกมาอย่างเต็มที่ และแบบนั้นก็จะมีคนพูดปนประชดว่า ถ้าเรื่องมากแบบนั้นก็ให้ค่ายเกมมาทำภาพยนตร์เองเลยซิ บอกเลยว่ามีและเละเป็นโจ๊กมาแล้วกับภาพยนตร์ ‘Final Fantasy The Spirits Within’ ที่ตัวภาพยนตร์มีกลิ่นอายความเป็น ‘Final Fantasy’ แบบครบถ้วนเกินไป แต่มันก็ไม่ใช่ ‘Final Fantasy’ ที่แฟน ๆ ต้องการ เพราะทางทีมพัฒนาเกมดันต้องการสร้างเกมให้เป็นภาพยนตร์ ไม่ใช่การสร้างภาพยนตร์จากเกม ภาพยนตร์ ‘Final Fantasy The Spirits Within’ จึงล้มไม่เป็นท่า ดังนั้นหน้าที่ความถนัดของใครก็ของมัน แค่ขอความเห็นขอข้อมูลนั่นคือสิ่งที่ทีมงานสร้างภาพยนตร์ควรทำ


ไม่ขอความร่วมมือกับทีมพัฒนาเกม

จากประสบการณ์ของคนที่ติดตามข่าวสารภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม สิ่งที่ทราบจากข่าวเหล่านั้นคือ ผู้กำกับที่สร้างภาพยนตร์มักจะไม่ขอความร่วมมือกับทีมพัฒนาเกม อาจจะด้วยกำแพงภาษาหรือการติดต่อพูดคุยที่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามตรงไหนเรื่องอะไร หรืออาจจะเป็นที่ค่ายเกมไม่กล้าติติงอะไรก็ได้ แต่เมื่อเราดูสิ่งที่ทีมสร้างภาพยนตร์ร่วมมือกับค่ายเกมแบบใกล้ชิดแล้วออกมาดีอย่าง ‘Sonic the Hedgehog’ และ ‘Pokemon Detective Pikachu’ ก็ทำให้เรามั่นใจได้ว่าสิ่งนี้สมควรทำ เพราะทีมพัฒนาเกมเขาจะเข้าใจรู้จักเนื้อเรื่องเกมนั้น ๆ เป็นอย่างดี แบบถ้าจะเพิ่มจะตัดจะลดจะใส่อะไรทีมพัฒนาเกมจะรู้ว่าควรมีไม่ควรมี อย่าง ‘Pokemon Detective Pikachu’ ที่เนื้อเรื่องก็ไม่ตรงในเกม แต่บรรยากาศการเปลี่ยนร่างของ ‘Pokemon’ การเอาบอลไปไล่จับมอนสเตอร์ ขนาดตัว ‘Pokemon’ ตัวไหนมีขนไม่มีขนเอกลักษณ์ของ ‘Pokemon’ ทุกตัวในภาพยนตร์ที่ทำออกมาตรงกับในเกมทุกอย่าง เพราะทีมพัฒนาเกมมาดูแลในเรื่องนี้จนเราได้เห็นโลกของ ‘Pokémon’ ที่ตรงกับในเกมทุกอย่าง ซึ่งสิ่งแรกที่ทีมสร้างภาพยนตร์ควรทำก็คือการเอาเนื้อเรื่องให้ค่ายเกมดู ไม่ใช่ถามว่าในเกมควรมีบรรยากาศแบบไหน และหลายคนก็เชื่อว่าถ้าทาง ‘Capcom’ เห็นบทเรื่อง ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ คงต้องส่ายหัวเหมือนที่ได้เห็นเนื้อเรื่องของ ‘Monster Hunter’ แน่นอน


 สรุปสิ่งที่แฟนเกมต้องการจากภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม

บ่นมายืดยาวจนคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงจะงง ว่าสรุปแล้วคนที่เล่นเกมเขาต้องการอะไรจากภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมกันแน่ จนกลายเป็นว่าคนเล่นเกมนั้นเรื่องมากเขาสร้างมาให้ดูก็ดีแค่ไหนแล้ว ซึ่งถ้าให้เปรียบก็คงจะเหมือนคนที่ได้เห็นการ์ตูนนิยายที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่มันไม่ตรงกับในนิยายเลยอารมณ์ก็คงแบบเดียวกัน ดังนั้นในฐานะของคนที่เสพสื่อการอยากเห็นสิ่งที่เหมือนในเกมก็ไม่ใช่เรื่องผิดและเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเมื่อคุณทำภาพยนตร์ที่มาจากเกมก็แปลว่าคนส่วนมากที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูภาพยนตร์ของคุณคือคนเล่นเกม ดังนั้นการเคารพต้นฉบับกลิ่นอายเนื้อเรื่องของเกมลงไปจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ และถ้าจะให้ดีก็ควรดูภาพยนตร์จากเกมเรื่องก่อน ๆ ว่ามันออกมาแย่ขนาดไหน มากกว่าจะดูที่รายได้ของคนที่ตีตั๋วไปดู และลองคิดในมุมกลับกันถ้าคุณลองสร้างเนื้อเรื่องตรงในเกมอาจจะมีคนที่ดูมากกว่านี้ก็ได้ แต่ก็อย่างว่าตราบเท่าที่ความสำเร็จแบบการเปลี่ยนเนื้อเรื่องในเกมมันขายได้มีรายได้ดี ก็ยังคงมีคนทำแบบนี้ต่อไป ส่วนคนเล่นเกมก็หวังกันต่อไปว่าจะมีภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมออกมาดี ๆ อย่างที่เราต้องการเสียที


ก็จบกันไปแล้วกับการไขข้อข้องใจว่าทำไมเกมที่สร้างเป็นภาพยนตร์ถึงไม่ตรงกับเนื้อหาในเกม  โดยข้อมูลที่เราเอามาใช้อ้างอิงนั้น ก็มาจากบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับคนเขียนบทจากในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ที่มีออกมาตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงประสบการณ์ของผู้เขียนที่เคยต้องแปลงเนื้อเรื่องในวิดีโอเกมมาเป็นฉบับนิยาย จึงทำให้เข้าใจเรื่องของการเขียนบทคิดเนื้อเรื่องของทีมสร้างภาพยนตร์ว่ารู้สึกอย่างไร ในบทความนี้จึงเป็นการบอกเล่าให้เห็นถึงมุมมองของคนที่ทำงานในส่วนของการเขียนบทเนื้อเรื่องเกมให้เป็นภาพยนตร์ และความรู้สึกของคนเล่นเกมที่อยากเห็นเรื่องราวตรงตามภาพยนตร์หวังว่าจะถูกใจกัน และถ้าเนื้อหาขาดตกตรงส่วนไหนไปก็ขออภัยมาด้วย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอะไรในวงการเกมก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น