คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบไม๊ประมาณว่าได้เจอใครซักคนแล้วคุณรู้สึกตกหลุมรักคนๆ
นั้นทันทีโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ที่เค้าว่ากันว่าคนเราสามารถหลงรักใครบางคนได้เพียงเวลาแค่เสี้ยววินาที
ซึ่งผมก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนจนมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ที่ผมได้เจอกับหญิงสาวคนนึงในห้องศิลปะช่วงเย็นตอนที่ผมถูกทำโทษให้ทำความสะอาดห้องเรียน
เพราะดันไปตอบผิดหูอาจารย์เพราะความขี้เล่นของผมจนถูกทำโทษ ที่กว่างานที่ถูกทำโทษจะเสร็จก็เย็นมากๆ
จนนักเรียนคนอื่นๆ กลับไปกันหมดแล้ว และเมื่อผมเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บที่ห้องภารโรงก็ต้องผ่านห้องศิลปะที่เป็นชมรมชายขอบที่ไม่ค่อยมีคนมานัก
จะมีเพียงแค่คนที่ชอบวาดรูปหรือทำนั่นนี่จะมาใช้ห้องในการทำงาน ซึ่งผมที่เป็นสายกีฬาก็ไม่ได้สนใจสถานที่นี่และถ้าไปถามเด็กนักเรียนบางคนอาจจะถามคืนด้วยว่ามีห้องแบบนี้ในโรงเรียนด้วยหรอกันเลยทีเดียว
และในวันนั้นที่ผมได้บังเอิญเดินผ่านไปทางนั้นเป็นครั้งแรก
ก็ได้เจอกับนางฟ้าผ่านทางหน้าต่างกระจกของห้องชมรม
เธอเป็นสาวสวยที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวไม่ก็อ่อนกว่าผมที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่คนในในห้องศิลปะ
ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นคนแบบครึ่งตัวไม่ก็มีแค่หัวแบบต่างๆ ที่คนชมรมนี้ปั้นเอาไว้อยู่ในห้อง พร้อมกับรูปวาดที่คนชมรมนี้เขียนเพื่อเอาไปประกวดหรือจัดแสดงอะไรนี่ละ
ผมที่ได้เห็นเธอคนนั้นก็รู้สึกเหมือนตกในภวังค์จนยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นอยู่วินาที
จนถูกอาจารย์ร่างผอมสวมแว่นที่ชื่ออาจารย์วินัยมากระแอมใส่จนผมตื่นจากความฝันที่ได้มองนางฟ้า
จนรีบเอาของไปเก็บและรีบออกมา ซึ่งตอนเดินกลับผมก็เห็นอาจารย์วินัยยืนดูหญิงสาวคนนั้นวาดรูป
ซึ่งรูปที่เธอวาดคือรูปปั้นผู้หญิงขนาดใหญ่ไม่มีแขน ที่ผมมารู้ทีหลังว่ารูปปั้นนั้นเรียกว่าวีนัสที่การจำลองเป็นรูปปั้นชื่อดังที่หญิงสาวคนนั้นกำลังวาดอยู่
หลังจากวันนั้นผมก็พยายามแอบมาดูเธอเป็นประจำ
เพื่อดูความน่ารักทั้งที่ใจก็อยากจะเข้าไปจีบหรือทำความรู้จักแต่ก็ไม่กล้า จึงทำได้แค่แอบมองเท่านั้น
และด้วยความที่โรงเรียนที่ผมอยู่นั้นค่อนข้างใหญ่เลยทำให้การตามหาตัวเธอคนนั้นเป็นไปได้ยากจนผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นเรียนชั้นไหนปีอะไร
จึงทำได้ก็เพียงมารอเธอที่ห้องศิลปะเท่านั้น และถ้าคุณกำลังสงสัยว่าทำไมผมไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกเพื่อนๆ
ให้ช่วยตามหาห้องผู้หญิงคนนี้ผมก็คงจะต้องบอกว่าไม่มีทาง เพราะถ้าพวกมันรู้ว่าผมได้เจอนางฟ้าแบบนี้ถ้าพวกมันไม่แซวผมจนเธอคนนั้นอาย
หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือพวกมันก็คงจะแย่งจีบเธอแน่นอน
ซึ่งคนขี้เหร่แบบผมก็คงจีบเธอไม่ติดแน่นอน ดังนั้นการแอบมองอยู่ห่างๆ
และได้เห็นเธอแค่นี้ก็พอใจแล้วสำหรับคนแบบผม หรือจะดีมากๆ ถ้าผมได้ที่อยู่ของเธอหรือรู้ว่าบ้านเธออยู่ไหน
ผมจะได้เขียนจดหมายส่ง EMS ไปทำควารู้จักเธอ หรือถ้าได้เบอร์โทรศัพท์บ้านผมก็จะได้เตรียมเหรียญมาโทรหาเธอที่ตู้สาธารณะทุกคืนแบบที่คนมีแฟนเค้าชอบทำกัน
ซึ่งผมก็อยากมีโมเม้นแบบนี้บ้าง
แต่ในความเป็นจริงคนสวยแบบนี้คงจะมีคนมาจีบมากมายจนผมก็ทำได้แค่มองอยู่ตรงนี้
อะแฮ่ม
เสียงกระแอมของอาจารย์วินัยดังขึ้นมาที่ด้านหลังอีกครั้ง ที่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ผมมาแอบดูเธอคนนี้จะถูกอาจารย์วินัยที่เป็นอาจารย์ประจำห้องศิลปะมาขัดความสุขของผมทุกครั้งไป
ซึ่งในบางครั้งที่ผมมาแอบดูเธอคนนั้นผมก็จะพยายามแอบดูก่อนว่าอาจารย์วินัยอยู่ตรงไหน
เพราะจะได้ไม่ถูกแกจับได้ว่ามาแอบดูลูกศิษย์คนสวยของแก
ที่ในบางครั้งผมก็จะเห็นอาจารย์วินัยนั่งไม่ก็ยืนดูหญิงสาวคนนั้นวาดรูป ที่เธอก็มักจะวาดรูปเดิมๆ
แต่เปลี่ยนรูปแบบการลงสีวาดเส้นเป็นหลายๆ
แบบที่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะวาดรูปเดิมแต่เปลี่ยนวิธีไปทำไม และเคยมีครั้งนึงผมอยากรู้ว่าบ้านของเธอคนนี้อยู่ที่ไหน
ผมจึงรอจนเธอวาดรูปเสร็จและออกมาจากชมรมผมก็จะรีบตามไปทันที เพราะเพื่อนผมมันบอกว่ามันเคยชอบรุ่นพี่คนนึงจนมันตามเค้าไปถึงบ้าน
และจดที่อยู่บ้านเลขที่มาจนส่งจดหมายไปจีบเธอได้ มันบอกว่าในจดหมายนั้นเขียนคำกลอนบอกรักและใส่แป้งลงไปเพื่อให้คนอ่านรู้สึกประทับใจ
ที่ผมก็อยากทำแบบนั้นบ้าง ผมเลยแอบตามเธอออกมาจากชมรม
แต่ทุกครั้งที่ผมพยายามตามเธอที่เดินออกมาจากห้องชมรม ผมต้องเจออาจารย์วินัยมาดักทุกครั้งเหมือนแกจะรู้ว่าผมมาคอยดักตามลูกศิษย์คนสวยของแก
เพราะทุกครั้งอาจารย์วินัยจะทำตามถลึงโตผ่านแว่นและพูดเสียงดุๆ
ใส่ผมว่าอย่ามายุ่งกับเธอขอเตือนเอาไว้ ก่อนที่แกจะเดินหายไปจนผมตามเธอคนนั้นไม่ทัน
ซึ่งถ้ามองในแง่ของคนทั่วไปการที่ผมจะตามใครบางคนโดยที่ไม่ได้ไปสร้างความรำคาญให้ใครผมก็ไม่ผิด
แม้ลึกๆ จะรู้ตัวว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตนิดๆ
แต่การเจอคนที่เราถูกใจและคิดจะจีบมันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำป่ะ
ส่วนอาจารย์วินัยต่างหากที่มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของผม ที่ถ้าอาจารย์แก่ชอบลูกศิษย์คนสวยเหมือนกันนั้นซิที่ผิดมากกว่าผม
เมื่อเป็นอย่างนั้นผมก็เลยพยายามจะตามเธอหรือมาดักรอตามมาว่าเธอคนนี้เรียนชั้นไหนเป็นใคร
แต่ก็ถูกขัดขวางจากเพื่อนที่มาชวนไปทำนั่นนี่หรือบางทีเพื่อนมันเริ่มสงสัยว่าทำไมผมกลับเย็นทุกวัน
จนผมต้องสับขาหลอกจนแทบไม่มีเวลาตามสืบหรือมาดูเธอทุกวันที่บางทีก็เว้นช่วงเป็นอาทิตย์ก็มี
ที่จนแล้วจนรอดผมก็ทำได้แค่แอบมองอยู่แบบนั้น บางวันก็แอบดูได้แป๊บๆ
ก็ต้องออกมาเพราะเห็นอาจารย์วินัยเดินไปมา
แต่แล้วความพยายามของผมก็เป็นผล
เมื่อผมสามารถตามหาข้อมูลของเธอคนนั้นมาได้ ว่าเธอคนนั้นชื่ออะไรและเป็นใครผ่านทางรูปวาดวีนัสของเธอที่ส่งเข้าประกวดวาดรูปในงานนึง
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าเธอคนนี้คือรุ่นพี่ซึ่งห่างจากผม 2 ปีที่ชื่อว่ากิ๊บ
ที่เมื่อผมรู้แล้วว่าเธอคนนี้ชื่ออะไรการไปตามหาถึงห้องจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากก็คือการทำอย่างไรไม่ให้เพื่อนๆ
มันรู้ จนวันนึงผมรวบรวมความกล้าที่บอกกับตัวเองในใจว่า ถ้าหากรักนี้ผมไม่บอกออกไปก็คงจะทำได้แค่คนที่มองอย่างเดียว
อย่างน้อยผมได้สารภาพออกไปถึงแม้จะอกหักก็ยังดีกว่ามาเป็นคนขี้แพ้ที่ได้แค่มอง
ผมจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในห้องศิลปะที่ในตอนนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์วินัยก็อยู่ในห้องนั้นพอดีที่เรียกว่าจังหวะนรกก็ได้
จนอาจารย์วินัยหันมาถามผมว่าเธอมาทำอะไรในนี้ออกไปนะ
ขณะที่หญิงสาวคนนั้นก็มีทีท่าตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่จนกลายเป็นการประจันหน้าของคนสามคน
แบบที่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
เพราะดูเหมือนก่อนที่ผมจะเข้ามาในนี้ทั้งคู่ก็น่าจะมีปากเสียงกันมาก่อนรึเปล่า จนผมที่ตั้งใจจะมาสารภาพรักกลับกลายเป็นคนที่มาอยู่ตรงกลางวงการทะเลาะกันครั้งนี้ไปเสียอย่างนั้น
หรือจะเป็นมึงที่รู้เรื่องนี้บอกมานะมึงรู้ได้ยังไง
อาจารย์วินัยเดินหน้าเขียวด้วยความโมโหมาทางผม พร้อมคำถามที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ขณะที่หญิงสาวคนนั้นก็มาห้ามอาจารย์วินัยแต่ดูเหมือนอาจารย์แกจะไม่สนใจ และตรงดิ่งมาบีบคอผมด้วยความโกรธ
ที่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคือเรื่องอะไร รู้แค่ว่าตอนนั้นผมตกใจมากๆ
จนทำอะไรไม่ถูก แต่ด้วยความที่ผมเป็นนักกีฬาที่ค่อนข้างแข็งแรงกว่าอาจารย์วินัยที่เป็นเพียงชายร่างเล็กผอมแห้ง
ผมจึงสามารถผลักอาจารย์แกให้ออกไปจากตัวได้ และอาจจะเป็นเพราะความตกใจเกินไปของผม จนทำให้ผลักอาจารย์แกกระเด็นไปไกลจนชนรูปปั้นวีนัสตัวนั้นจนเอนล้มลงมาตกแตกกระจาย
ท่ามกลางความตกใจของผมกับหญิงสาวคนนั้นที่ได้เห็นโครงกระดูกใครบางคนในนั้น ขณะที่อาจารย์วินัยก็ตกใจตาลีตาเหลือกมากอดกระดูกนั้นและร้องไห้เหมือนคนบ้า
ขณะที่เราสองคนก็รีบวิ่งหนีออกมาจากห้องนั้น แต่ก่อนที่ผมกับกิ๊บจะวิ่งออกมากิ๊บก็ตะโกนเรียกใครบางคนที่ผมไม่รู้จัก
ก่อนที่กิ๊บบจะยืนร้องไห้ออกมาท่ามกลางความตกใจของผมที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
จนสุดท้ายผมก็ลากตัวกิ๊บออกมาจากตรงนั้น และรีบไปแจ้งตำรวจพร้อมกับกิ๊บที่กว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุผมก็รู้ว่าอาจารย์วินัยแกแขวนคอตายในห้องศิลปะไปแล้วเพื่อหนีความผิดที่แกทำเอาไว้
และหลังจากวันนั้นผมก็ได้รู้ข่าวจากคดีนี้ว่า
ศพที่เจอในรูปปั้นวีนัสที่ผมกับกิ๊บเจอกันในวันนั้นมันคือศพของเด็กผู้หญิงคนนึงที่หายตัวไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
ที่เธอคนนั้นแอบมีอะไรกับอาจารย์วินัยจนท้อง
ซึ่งหญิงสาวก็อยากให้อาจารย์รับผิดชอบและเธอไม่คิดที่จะเอาเด็กออกจนปล่อยให้ท้องโต
อาจารย์วินัยที่กลัวว่าภรรยาที่บ้านกับทางโรงเรียนรู้เรื่องนี้ ที่ตนเองอาจจะมีปัญหาได้เขาจึงเรียกหญิงสาวคนนี้มาที่ห้องศิลปะ
และทำการฆ่าเธอทิ้งก่อนที่เอาศพของหญิงสาวคนนี้มาทำเป็นรูปปั้นวีนัสขนาดใหญ่ ที่ผมมารู้วิธีทำภายหลังว่าแกได้เอาร่างของหญิงสาวคนนั้นมาแช่งในถังขนาดใหญ่ในท่านั่ง
แล้วเทปูนทับรอจนปูแข็งแล้วเอาปูนทรงเหลี่ยมที่มีศพนั้นมาเป็นฐาน ก่อนจะปั้นรูปปั้นวีนัสขนาดใหญ่ทับลงไป
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าในรูปปั้นนั้นมีศพคนอยู่ และการหายตัวไปของนักเรียนคนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเกี่ยวกับอาจารย์วินัย
เพราะทั้งคู่คบกันแบบลับๆ และหญิงสาวก็เป็นเด็กกำพร้าที่อยู่กับยายแก่ๆ สองคน ที่ไม่นานยายคนนั้นก็เสียชีวิตเลยไม่มีใครสนใจทำคดีจนเรื่องนี้ก็เงียบไป
วันนึงกิ๊บหญิงสาวเกิดมาสนใจวาดรูปวีนัสตัวนี้มากๆ จนอาจารย์วินัยเกิดกลัวว่ากิ๊บจะสงสัยหรือรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
จนเขาตามดูกิ๊บในชมรมและแกล้งทำเป็นคนสนและช่วยแนะนำเธอในการวาดรูป จนกิ๊บสามารถเอารูปส่งเข้าประกวดได้รางวัลจนเป็นข่าวใหญ่โต
อาจารย์วินัยก็ยิ่งเครียดว่าจะมีคนมารู้ความลับแกเลยพยายามจะทำให้กิ๊บออกจากรูปปั้นนั้น
จนผมที่ดันมาสารภาพรักกับเธอจนกลายเป็นการอยู่ถูกที่ถูกเวลาไปเสียอย่างนั้น
ที่ในตอนนั้นถ้าผมไม่มาสารภาพรักหรือมาช้ากว่านี้อีกหน่อยกิ๊บอาจจะถูกอาจารย์วินัยจับทำรูปปั้นวีนัสไปอีกคนก็ได้ใครจะรู้
พื้นที่โฆษณา สนใจติดต่อ https://www.facebook.com/profile.php?id=100004085645922


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น