ตอนที่10. ริคกี้



               ตอนที่10.ริคกี้

               ผมชื่อริคกี้ผมอาศัยอยู่กับแม่2คนในบ้านหลังหนึ่ง แม่ผมเป็นคนใจดีเธอเป็นสาวแก่วัย70ปีเศษที่ชอบใส่ชุดนอนแบบเสื้อคลุม เมื่อก่อนแม่เคยอยู่กับพ่อเราอยู่ด้วยกัน3คนพ่อแม่ลูก แต่วันหนึ่งพ่อก็จากไปแบบไม่มีวันกลับ เราสองคนแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันแค่สองคนนับแต่นั้น

               บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้าน3ชั้นเก่าๆในซอยเล็กๆที่แสนจะแออัดไปด้วยผู้คน ทุกวันผมจะมานั่งที่หน้าบ้านดูผู้คนที่เดินไปมา ตรงนั้นมีชายแก่เข็นรถซาเล้งเก่าๆเดินไอผ่านไป ถัดมาก็เป็นเด็กสองคนพี่น้องชายหญิงในชุดนักเรียนวิ่งผ่านไป สวนทางกับพี่ชายคนนึงที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปไอไป

                ที่ผมมานั่งดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ใช่อะไรหรอก ผมก็แค่รอใครคนหนึ่งอยู่เท่านั้นเอง

               "ว่าไงจ๊ะริคกี้" เรย์สาวสวยผมสีน้ำตาลดัดเป็นรอนในชุดนักศึกษาเดินมาทักผมที่นั่งอยู่หน้าบ้าน

               "หวัดดีครับ!!!" ผมทักตอบด้วยความดีใจ

               "สวัสดีคะคุณป้า" เรย์ยิ้มทักทายคุณแม่ของผมที่เดินมาจากในบ้านพร้อมกาแฟปลาท่องโก๋

               "ไปโรงเรียนแต่เช้าทุกวันเลยนะ" แม่ผมยิ้มตอบ

               "ช่วงนี้มีกิจกรรมที่มหาลัยคะเลยต้องรีบไปแต่งเช้า ไปก่อนะริคกิ้ ตอนเย็นเจอกัน" เรย์ส่งยิ้มมาให้ผมก่อนที่เธอจะเดินไป

               "ชอบเขาล่ะซิ แม่รู้นะ" แม่พูดยิ้มๆกับผมระหว่างทานกาแฟ

               "แม่ล่ะก็" ผมตอบไปด้วยท่าทางเขิลอาย

               "สวัสดีค่ะคุณนาย แค่ก แค่ก ไงริคกี้" พี่ปลาคนรับใช้ที่มาทำความสะอาดบ้านที่คุณแม่จ้างมา ยิ้มทักทายเมื่อมาถึงบ้าน

               "ไม่สบายรึเปล่า ดูหน้าซีดๆ" คุณแม่ถามพี่ปลาเมื่อเห็นเธอไอแบบแปลกๆ

               "ไม่เป็นไรคะคุณนาย หนูแค่เหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ยังไหวคะ" พี่ปลาพูดเสียงเหน่อๆแบบคนบ้านนอก

               "นึกว่าไม่ไหวจะได้ให้เธอพักผ่อน" คุณแม่มักใจดีกับผู้คนเสมอ ใครๆถึงได้รักท่านแบบที่ผมรัก

               "แต่จะว่าไปวันนี้มันดูแปลกๆ" ผมสังเกตุเห็นความผิดปกติของผู้คนที่เดินไป หลายคนไอออกมาตลอดเวลา รวมถึงพี่ปลาที่กวาดบ้านไปไอไป

               "วันนี้ทำไมคนไอเยอะจริงๆ รึว่าจะไม่สบายพร้อมๆกัน" แม่พูดกับผมด้วยความสงสัย

               "ผมก็ไม่ทราบครับ" ผมบอกแม่ไป

              ทุกวันหลังจากทักทายกับเรย์เรียบร้อยผมก็จะมากินอาหารเช้า แล้วก็เข้านอนกลางวันตามปกติเพราะไม่ค่อยอยากออกไปไหนเท่าไหร่

              "เพล้ง!!!!" ช่วงสายๆผมก็ได้ยินเสียงจานกระเบื้องตกแตกที่ห้องครัว จนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ

              "ปลาเป็นอะไรรึเปล่า" แม่เดินไปถามพี่ปลาที่ในครัวด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้ยินเสียงจานตกแตก

              "กรี๊ดดดดด!!!!" เสียงของแม่ดังขึ้นมาที่ในครัว ผมจึงรีบวิ่งไปดูทันที

              "แม่!!!!" ผมเรียกแม่ด้วยความตกใจ เมื่อเห็นท่านถูกพี่ปลาที่จู่ๆก็กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ วิ่งเข้ามาทำร้ายแม่
           
              "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก!!!" พี่ปลาหันมาร้องเสียงดังใส่ผมเมื่อได้ยินผมเรียกแม่

              "หนีไปริคกี้ อ๊ากกกกก!!!" เสียงของแม่บอกผมเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เพราะถูกพี่ปลาใช้มือทั้งสองข้างแหวกพุงของแม่ออกมา แล้วล้วงเอาตับไตเครื่องในของแม่มากินอย่างหิวโหย

              "แก....แกทำอะไรแม่ฉัน....!!!" ผมตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห เท้าของผมสั่นไปมาเพราะความโกรธ

              วินาทีที่ผมจะตรงเข้าไปทำร้ายพี่ปลา ตอนนั้นเองผมก็เห็นแววตาของแม่ที่มองมาทางผมเป็นครั้งสุดท้าย แววตานั้นบอกผมว่า

              "จงมีชีวิตอยู่ต่อไป"

              ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ที่รู้สึกแบบนั้น แต่ด้วยความผูกพันที่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ของแม่กับผม มันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมควรทำอย่างไรเมื่อเห็นแววตาของแม่....

              "ครับแม่ผมจะมีชีวิตต่อไป...!!!" ผมตะโกนบอกแม่ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมา

              ผมวิ่งหนีออกมาจากบ้านอย่างไม่คิดชีวิต ด้านนอกซอยเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหล ผู้คนวิ่งหนีกันไปมาไม่สนใจว่าใครคือใคร ต่างคนต่างหนีตายกันอย่างไม่คิดชีวิต ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด

              บนถนนตอนนี้มีรถวิ่งชนกันไปมาเสียงดัง เกิดไฟไหม้เผาคนในรถที่หนีออกมาไม่ทันไปหลายคัน ที่ข้างทางก็มีแต่ความวุ่นวายผู้คนวิ่งหนีไปมา และมีคนบ้าเลือดท่วมตัวไล่กัดคนที่วิ่งหนีมากินเหมือนอย่างที่พี่ปลาทำกับแม่ หลายคนถูกจับได้และถูกกัดก่อนจะถูกคนอื่นๆที่เป็นแบบเดียวกันรุมกินทั้งเป็น

             ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้แค่ยืนดูเรื่องราวต่างๆด้วยความตกใจอยู่ตรงนั้น

              "เฮ้ยริคกี้ทางนี้!!!" ระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะไปทางไหนต่อดี ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาที่ตรงข้ามถนน

              นั่นมันโตโต้เพื่อนซี้ร่างอ้วนป้อมของผมนั่นเอง มันตะโกนเสียงดังท่ามกลางความวุ่นวายที่อีกฝากของถนน ผมจึงตัดสินใจรีบวิ่งหลบผู้คนที่หนีไปมาบนถนน กระโดดข้ามรถที่กำลังไฟไหม้ได้อย่างหวุดหวิด และเกือบถูกคนบ้าที่บังเอิญวิ่งผ่านมาจับผมได้ แต่ด้วยความว่องไวที่มีมาตั้งแต่เกิดจึงทำให้ผมสามารถรอดมาได้

              "ปลอดภัยนะแก!!!" โตโต้ถามผมด้วยความเป็นห่วง

              "ขอบใจที่ถาม แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นแกพอจะรู้ไหมโตโต้!!!" ผมถามเพื่อนชายด้วยความตกใจ

               โตโต้ส่ายหน้าแรงๆ "ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นข้ากำลังนอนกลางวันอยู่ดีๆ พอตื่นมาก็เจอแบบนี้แล้ว พอดีผ่านมาทางนี้เลยเจอแกพอดี"

               "มันเกิดอะไรขึ้นกัน...?" ผมอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เมื่อหันไปดูความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

               " ช่างเถอะเรื่องนั้น ข้าว่าเราหนีกันก่อนเถอะ ไปที่ฐานลับของเรากัน!!!" โตโต้บอกกับผม เราสองคนจึงรีบวิ่งเข้ามาในซอยทันที

               ด้วยความที่เรารู้จักพื้นที่แถวนี้เป็นอย่างดี ผมกับโตโต้จึงสามารถหาที่ปลอดภัยให้กับเราทั้งสองได้ไม่ยาก เราสองคนมาหลบที่โกดังเก็บของร้างที่มีช่องเล็กๆพอที่จะรอดได้ ข้างในเป็นโกดังเก็บของที่ถูกทิ้งร้าง ไม่มีคนมาที่นี่นานแล้วนอกจากพวกเราที่จะมานั่นเล่นเป็นประจำ โกดังนี้เป็นเหมือนฐานบัญชาการลับของพวกเราสองคนก็ว่าได้

                "แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อไปดี จะหาอะไรที่ไหนกิน แล้วพวกคนอื่นๆจะเป็นอย่างไรบ้าง เครียดๆๆๆ ยิ่งคิดยิ่งเครียด" โตโต้เดินไปเดินมาพูดพร่ำแต่เรื่องช่วนให้จิตตกตลอดเวลา

                 "อย่าเดินไปเดินมาได้ไหม มันเวียนหัว" ผมที่นั่งคิดเรื่องของแม่บ่นออกมาดังๆ เมื่อต้องนั่งฟังเจ้าอ้วนกลมบ่นเรื่องที่ผมเองก็เครียด

                "ตึก ตึก!!!" ระหว่างที่เรากำลังเถียงกัน ก็มีเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างกำลังมาที่โกดังร้างแห่งนี้ ซึ่งนอกจากเราทั้งสองแล้วก็ไม่มีใครรู้จักทีนี่ได้

                 "ใครน่ะ...!!!" ผมจะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าทางเข้าที่เป็นช่องรอดเล็กๆ

                 "เราเอง ไม่ใช่พวกผีดิบ!!!" เสียงแหลมๆเล็กๆดังขึ้นมาที่หน้าทางเข้า

                 "น้ำค้างใช่ไหม....เข้ามาซิ" โตโต้ที่ได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าคือน้ำค้าง สาวร่างเล็กหุ่นเพียวบาง เธอเป็นลูกคุณหนูบ้านหลังโตในซอยของหมู่บ้าน

                  น้ำค้างเดินเข้ามาในโกดังด้วยท่าทางหวาดระแวง เธอมองซ้ายมองขวาระหว่างเดินมาหาเรา ตัวของเธอสั่นงันงกชุดกระโปรงสีชมพูของเธอเปื้อนเลือดสีแดงจนเห็นได้ชัด

                 "เราขอหลบด้วยนะ เมื่อกี้แม่ของเราถูกพวกผีดิบทำร้าย มันทุบกระจกแล้วลากแม่ออกมาจากรถรุมกินทั้งเป็น ตอนนั้นเราพยายามจะช่วยแม่แต่ก็ไม่มีแรงสู้กับพวกมัน จนสุดท้ายก็ต้องหนีมาที่นี่" น้ำค้างเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดูเหมือนเธอยังคงหวาดผวากับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่แพ้ผม

                "เธอรู้จักที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่เป็นฐาบัญชาการลับของเราทั้งสอง...!!!" ผมถามน้ำค้างด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมาหาเจ้าอ้วนโตโต้ที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้างหลังผม

                "แกบอกน้ำค้างใช่ไหมเรื่องฐายบัญชาการนี้" ผมถามเจ้าอ้วนโตโต้เสียงดุ

                "ขอโทษผิดไปแล้ว" โตโต้ก้มหน้าพูดเบาๆไม่กล้าสบตาผม

                 "ช่างเถอะ แทนที่เราจะมานั่งเถียงกันเรื่องนี้ สู้เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดีกับเรื่องนี้" ผมพยายามรวบรวมความกล้าและกลืนความเสียใจลงท้องไปชั่งคราว เพื่อที่จะหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

                "ตอนนี้ข้างนอกไม่ปลอดภัย มีแต่พวกผีดิบคนบ้าที่ไล่กินคนเต็มไปหมด" น้ำค้างบอก

                "ใช่ๆ ออกไปเราคงตายแน่ๆ คงถูกพวกมันจับกินแบบคนอื่นๆ" โตโต้รับรับคำที่น้ำค้างพูด

                จะว่าไปแค่ดูท่าทางกับแววตาของเจ้าอ้วนโตโต้ก็พอจะเดาออกได้เลยว่ามันชอบน้ำค้างอยู่

                "แต่เราคงอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ไม่ได้ด้วย ที่นี่ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร สุดท้ายพวกเราก็จะอดตายอยู่ดี แต่ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดคือหลบอยู่เงียบๆไปก่อน รอทุกอย่างสงบแล้วค่อยออกไปแล้วกัน" ผมออกความคิดกับเพื่อนทั้งสอง

               "นายพูดถูกริคกี้" โตโต้รับคำ "งั้นเราจะยกนายให้เป็นหัวหน้าเลย"

               "ขอบใจ" ผมพูดประชด

               "น้ำค้างนอนตรงนี้ได้นะ เดี๋ยวคืนนี้เรากับริคกี้จะเฝ้าเธอเอง" เจ้าอ้วนโตโต้ลุกขึ้นจากบนโซฟาเก่าๆที่นั่งอยู่

                "ขอบใจนะโตโต้" น้ำค้างของใจโตโต้ที่เสียสละที่นอนของตน

                คืนนั้นเราทั้งสามนอนกันในโกดังร้างท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน เสียงร้องโหยหวนของพวกผีดิบปะปนไปกับเสียงร้องของผู้คนที่ยังคงดังอยู่ประปรายในความมืดด้านนอก

               ผมที่อยู่เฝ้ายามนั่งคิดถึงแต่เรื่องของแม่ที่เสียไปโดยที่ผมช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย และถ้าตอนนี้แม่ยังมีชีวิตอยู่ เราสองคนแม่ลูกคงกำลังนั่งดูละครกันอยู่แน่ๆ

               "ริคกี้" เสียงน้ำค้างเรียกผมเบาๆที่ด้านหลัง

               "นอนไม่หลบหรอน้ำค้าง" ผมถามน้ำค้างเมื่อหันไปดูก็เห็นเข้าอ้วนโตโต้นอนกรนเสียงดังอยู่บนพื้น

                "นอนไม่หลับหรอก เรายังตกใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่อยู่เลย" น้ำค้างพูดเสียงเศร้า เธอก้มหน้ามองพื้น

               "เราเองก็เสียแม่ไปเหมือนกัน เราช่วยอะไรแม่ได้เลย เราทำได้แค่หนีออกมาเท่านั้นเอง" ผมบอกกับน้ำค้าง เราทั้งสองเสียใจเรื่องเดียวกัน

                "แต่เด็กอย่างเราจะเอาแรงไปสู้พวกผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน แถมยังเป็นพวกบ้าที่เหมือนผีดิบอีก ไม่รู้ตอนนี้โลกข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดีก็คงจะดี" น้ำค้าเงยหน้ามองพระจันทร์

              "นั่นซิ....แต่มันคงไม่จบด้วยดีง่ายๆแน่เราเชื่อแบบนั้น" ผมเงยหน้ามองฟ้าระหว่างพูดกับน้ำค้าง

              รุ่งขึ้นพวกเราทั้งสามก็ตัดสินใจออกจากโกดังเพื่อไปหาอาหาร

               "เราจะไปที่ไหนกันดี เราไม่รู้ว่าที่ไหนพอจะมีอาหารบ้าง" น้ำค้างพูดขึ้นมาระหว่างที่เราทั้งสามลัดเลาะไปตามทางเดินริมคลองเมื่ออกมาจากโกดัง ตอนนี้เราอยู่ในหมู่บ้านเพชรเกษม3แถวที่แม่เรียกว่าเขตบางแค

               "ฉันรู้ว่าอาหารที่ไหนมี ตามมา" โตโต้พูดเสียงดังก่อนจะวิ่งนำเราทั้งสามไป

                เราทั้งสามค่อยๆเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆจนมาถึงสะพานข้ามคลอง ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างหมู่บ้านที่เราอยู่กับถนนที่มุ่งสู่ซอยที่จะพาเราไปถนนใหญ่

                โตโต้พาเราทั้งสามเดินอย่างช้าๆ โดยอาศัยแอบตามรถที่จอดทิ้งเอาไว้ ระหว่างทางเราไม่เจอพวกผีดิบเลยจะเจอก็แต่ซากศพคนตายที่อยู่ในรถกับบนถนน ที่ตอนนี้กำลังเริ่มจะอืดเน่าเต็มทน

               "มาทางนี้.....นั่นไงร้านสะดวกซื้อที่มีของกิน" โตโต้บอกกับเราทั้งสองคน "ปกติฉันชอบไปนั่งเล่นแถวๆนั้นบ่อยๆ ลมมันเย็นดีแถมบางทีก็มีลุงๆป้าๆใจดีซื้อขนมเลี้ยงด้วย"

               "ใช่ๆที่นั่นมีอาหารเราเคยเข้าไปกับแม่" น้ำค้างยืนยัน

              "ถ้านายสองคนบอกว่ามีก็คงใช่ งั้นเราไปกันเถอะ" ผมที่ไม่เคยเข้าไปมาก่อน เพราะแม่มักจะเป็นคนซื้อของมาไว้ที่บ้านกับพี่ปลา เรื่องพวกนี้ผมเลยไม่ค่อยรู้จักนัก

               เราทั้งสามค่อยๆเดินไปที่ร้านสะด้วกซื้อที่มีเลข7บนป้ายร้าน หน้าประตูกับหน้าร้านที่เป็นกระจกตอนนี้แตกไปหมดแล้ว และข้าวของในนี้ก็กระจัดกระจายหายไปเกือบหมด คงเพราะมีคนเข้ามาในนี้เพื่อแย่งอาหารเป็นแน่

                "น่าจะพอมีของที่พอจะกินได้เหลืออยู่บ้าง" ผมบอกกับน้ำค้างและโตโต้เมื่อเดินเข้ามาในนี้ แต่กลับไม่พบของกินเลย เราพบแต่ชั้นวางของที่ว่างเปล่ากับซากศพที่นอนบพื้นเท่านั้น

                 "เราจำได้ว่าตรงนี้เคยมีของกินอยู่ นั่นไง!!!" น้ำค้างเดินมาที่ด้านในของร้าน จนเธอเจอของกินจึงเรียกพวกเรามาดู

                "แต่มันสูงเกินไปเรากระโดดไม่ถึงแน่ๆ" โตโต้บอกเมื่อเราสามคนยืนมองไก่โทริยากิที่แขวนอยู่ในแพ็คของชั้นวางข้างด้านใน

                  "มีอย่างอื่นอีกไหม ไปหาดูกัน" ผมบอกกับทั้งสอง เพราะเราคงจะกระโดดไปคว้ามันมาไม่ได้อย่างแน่นอน

                  แต่พอผมพูดไม่ทันจบ เจ้าอ้วนก็ตัดสินใจวิ่งกระโดดเข้าหาไก่โทริยากิที่แขวนอยู่ทันที

                  "โครม!!!!" เสียงของเจ้าอ้วนที่กระโดดไปไม่ถึงไก่โทริยากิ แถมยังหล่นไปชนชั้นวางของจนล้มระเนระนาด ส่งเสียงดังลั่นซอยที่เงียบสนิท

                  "ก๊ากกกกก ก๊ากกกกก" พวกผีดิบที่ได้ยินเสียงดังโครมครามที่ร้านสะดวกซื้อ ต่างก็ร้องเสียงดังก่อนจะแห่วิ่งมาที่นี่กันหลายสิบตัว

                   แต่กว่าที่พวกมันจะมาถึง พวกเราทั้งสามก็คว้าไก้โทริยากิหนีออกมาแล้ว

                  "ไม่อิ่มเลย....อยากกินอีก" เจ้าอ้วนโตโต้บ่นออกมาดังๆเมื่อต้องแบ่งอาหารกันกิน

                 "ก็หาได้เท่านี้อย่าบ่นนักเลยแก" ผมต่อว่าเจ้าอ้วนโตโต้ที่นั่งเลียงถุงด้วยความตะกละ

                 การหาอาหารเป็นอะไรที่ทำได้ยากที่สุดเพราะอาหารที่มีจำกัด และหาได้ยากในยุคที่มีแต่ผีดิบครองเมือง การที่เราจะเดินไปตามร้านขายของและเอาของกินมาได้อย่างปลอดภัยมันช่างยากสุดๆ

                  "ทนๆเอาหน่อยนะโตโต้" น้ำค้างพูดปลอบใจโตโต้

                  "ได้เราจะทน" โตโต้พูดไม่เต็มเสียงตอบน้ำค้าง

                   รุ่งขึ้นพวกเราทั้งสามก็ออกไปหาอาหารตามร้านขายของที่ไกลขึ้น เพราะร้านขายของส่วนมากจะมีแต่ของที่เราไม่ต้องการและกินไม่ได้ เราจึงต้องขึ้นไปบนถนนใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้

                    "หลบๆ" ผมบอกกับเพื่อนทั้งสองให้มาหลบที่ด้านหลังรถเมื่อเห็นผีดิบเดินผ่านไป

                   "นี่เรามาไกลจากโกดังมากแล้วนะ น้ำค้างว่าเรากลับกันเถอะ ถ้ามืดแล้วจะแย่" น้ำค้างบอกกับพวกเรา เธอค่อนข้างขี้กลัวและหวาดระแวง

                   "แต่เราไม่ได้อาหารเลย ฉันหิวจนเดินไม่ไหวแล้ว" โตโต้โวยวาย

                   "คงกลับฐานไม่ทันแล้วล่ะ ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้วหาที่พักกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางหาอาหารกันต่อ" ผมออกความคิดในฐานะผู้นำ เพราะตอนนี้มีเพียงผมเท่านั้นที่ไม่งี่เง่าบ่นเรื่องอาหารกับขี้กลัวจนเกินเหตุ

                   เรามานอนกันที่บ้านพักหลังหนึงที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้ ข้างในมีโซฟาหน้าทีวีให้เรานอนกันได้พอดี

                    "ในนี้น่าจะมีของกิน ฉันได้กลิ่นอาหารด้วย" โตโต้ที่เข้ามาในบ้านเดินตรงไปห้องครัวทันทีเมื่อพูดจบ

                   "ใช่ลืมไปเสียสนิทเลยว่าในครัวมีอาหารที่เรากินกันได้" ผมพูดออกมาด้วยความดีใจ

                  "พวกเรามาทางนี้เร็ว" โตโต้ตะโกนเรียกพวกเรามาที่โต๊ะกับข้าวในครัว ที่ด้านบนยังมีอาหารอยู่บนโต๊ะ

                   "มีอะไรกินได้บ้าง" ผมตะโกนถามโตโต้ที่อยู่บนโต๊ะ

                   "ก็มีหลายอย่าง แต่บางอย่างก็บูดแล้ว แต่บางอย่างก็พอกินได้" โตโต้ตะโกนบอกมา

                    ผมกับน้ำค้างจึงรีบปีนขึ้นไปบนโต๊ะและร่วมทานอาหารที่มีกันจนอิ่ม

                    "วันนี้รอดตายไป" โตโต้พูดด้วยน้ำเสียงสบายใจเมื่อทานอาหารจนอิ่ม

                    คืนนี้พวกเรานอนหลับกันในบ้านหลังนั้นตรงโซฟาหน้าทีวี หลังจากที่ท้องหิวทานอาหารไม่เต็มอิ่มมาหลายคืน วันนี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เราหลับกันอย่างสบายใจ

                    "เฮ้ย....ดูนั่นสิ เอาไปด้วยดีไหม" ช่วงสายของวันใหม่ผมได้ยินเสียงคนคุยกันแถวๆห้องที่เรานอนอยู่

                     "น่าจะจับเอาไปกินได้ ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกมากนัก" เสียงผู้ชายร่างผอมพูดกับเพื่อนๆในห้อง เมื่อเห็นเราทั้งสามนอนอยู่

                    "จะบ้าหรอบอย เราจะกินพวกนี้เนี้ยนะ บ้าไปแล้ว" เสียงผู้หญิงพูดค้านขึ้นมา

                    "หนวกหูจริงๆ กำลังหลับสบาย ไปคุยกันที่อื่นไป" ผมบ่นเบาๆด้วยความอ่อนเพลีย

                     "เราไม่มีทางเลือกนะอร ร้านขายของแถวนี้ไม่เหลืออะไรให้เรากินเลย อีกอย่างมันก็ไม่ผิดอะไรซักหน่อนถ้าจะทำแบบนี้" เสียงผู้ชายอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

                    "เป็นไงเป็นกัน ดีกว่าไม่มีอะไรกินเลย" เสียงผู้ชายอีกคนพูดสนับผู้ชายคนนั้นท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้หญิง....

                     "อุ๊บ...ช่วยด้วยริคกี้...!!!" เสียงรองของน้ำค้างปลุกผมตื่น เมื่อเห็นเธอถูกผู้ชายตัวโตผิวเข้มกำลังจับน้ำค้างใส่ถุงกระสอบ....

                     "ริคกี้!!!!" โตโต้เองก็โดนจับเหมือน เขาพยายามดิ้นรนต่อสู้แต่พวกเรายังเด็กและตัวเล็กมากจึงสู้แรงพวกผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ไหว

                     "เหลือแกอีกตัว อรช่วยจับมันหน่อยซิ!!!!" ผู้ชายสองคนที่กำลังมัดปากกระสอบตะโกนบอกหญิงสาวร่างผอมผมยาวที่กำลังยืนสั่นอยู่

                      ผมที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนีออกมาจากตรงนั้นทันทีอย่างไม่รอช้า

                      "หนีไปจนได้เห็นไหม...!!!!" ผู้ชายร่างผอมที่จับโตโต้ตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ

                      "ใครอยู่ข้างนอกดักจับมันเร็วเข้า อย่าให้หนีไปได้!!!" เสียงผู้ชายร่างอ้วนดำที่จับน้ำค้างตะโกนบอกคนข้างนอกให้จับตัวผม

                      เมื่อผมวิ่งออกมาก็พบชายหญิงหลายคนที่นั่งอยู่บนรถกระบะที่หน้าบ้าน ทุกคนมีอาวุทครบมือทั้งไม้ทั้งมีด พวกเขาก็คงจะเหมือนผมคือออกมาหาอาหารจนมาเจอพวกเรา และคิดจะเอาพวกเราไปทำเป็นอาหารกิน

                      ผมวิ่งหนีสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด โดยที่คนข้างนอกไม่ทันตั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกน ผมจึงสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยในที่สุด

                      เมื่อพ้นจากการตามจับตัวของพวกผู้ใหญ่ใจร้ายมาได้ ผมก็เห็นพวกนั้นจับโตโต้กับน้ำค้างที่อยู่ในกระสอบขึ้นไปบนรถกระบะแล้วขับไป ผมจึงรีบวิ่งตามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

                      พวกนั้นขับรถมาจอดที่ตึกร้างแห่งนึงที่เคยเป็นโชว์รูมรถยนต์ขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีแต่รถที่โชว์จอดทิ้งเอาไว้เต็มหน้าทางเข้า ผมที่ตัวเล็กจึงสามารถคลานลอดจากใต้ท้องรถคันนึงไปอีกคันนึงได้โดยที่ไม่ถูกเห็น และระหว่างทางที่ผมวิ่งมาผมไม่เจอกับพวกผีดิบเลย นอกจากซากศพผีดิบที่นอนตายตามถนนบนพื้นเท่านั้น คิดว่าพวกวัยรุ่นพวกนี้คงกำจัดไปจนหมด

                    "วันนี้ได้อะไรมาบ้าง" เมื่อรถจอดกลุ่มคนที่อยู่ที่โชว์รูมก็ถามคนที่มากับรถกระบะ

                    "ได้ของกินมานิดหน่อย แล้วก็พวกนี้ด้วย" ชายร่างอ้วนดำโชว์กระสอบที่มีน้ำค้างกับโตโต้อยู่ให้คนอื่นดู

                     "ท่าทางน่าอร่อย" หญิงสาวผิวดำผมหยิกพูดยิ้มๆเมื่อเห็นกระสอบ

                     "บ้าไปแล้วที่เราจะกิน" หญิงสาวคนเดิมที่มากับรถกระบะพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะเดินลงมา

                     "รีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะ ยืนตรงนี้นานๆไม่ปลอดภัย" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาที่ทางด้านในโชว์รูมรถ ผมที่แอบอยู่ใต้ท้องรถถึงกับตกใจเมื่อเห็นเรย์ยืนอยู่ เธอยังไม่ตาย

                    "ไม่ต้องห่วงไปหรอก เรากำจัดพวกมันไปหลายตัวแล้วระหว่างทาง โชคดีที่แถวนี้เป็นแถบชานเมืองคนไม่ค่อยเยอะ พวกศพพวกนั้นก็แห่กันไปตายอยู่ในเมืองกันหมด แถวนี้เลยปลอดภัยอย่างที่เธอบอกจริงๆเรย์" ชายร่างผอมที่ลงมาจากรถกระบะพูดกับเรย์ "ตอนนั้นถ้าเราไม่เชื่อเธอว่าให้หนีมาที่นี่พวกเราคงตายไปแล้ว" ชายหนุ่มร่างผอมพูดยิ้มๆกับเรย์ สีหน้าแววตาของชายคนนั้นไม่น่าไว้วางใจเลย

                    "เราแค่เดาถูกเท่านั้นเองบอม" เรย์ไม่สบตายชายร่างผอม เธอเดินเข้าไปข้างในโชว์รูมเมื่อพูดจบ

                   ผมยืนดูเรย์กับชายร่างผอมเดินเข้าไปในโชว์รูม ที่ประตูกระจกมีคนยืนเฝ้าอยู่ผมจึงเลี่ยงไปทางอื่นเพื่อหาทางเข้าไปด้านใน

                  "นั่นไง...." ผมเดินรอดใต้ท้องรถมาเรื่อยๆจนมาถึงด้านข้างของโชว์รูม ก็เจอทางเล็กๆที่พอจะรอดได้พอดี มันเป็นช่องลมที่อยู่ด้านข้างโชว์รูม ผมจึงค่อยๆปีนขึ้นไปบนลังไม้เพื่อไปที่ช่องลมนั้น

                  เมื่อเข้ามาด้านในผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกัน ผมจึงหันไปดูตรงช่องตะแกรงที่อยู่ตรงช่องระบายอากาศพอดี

                  "เรย์เธอก็ไม่เห็นด้วยใช่ไหมที่จะเอาเด็กๆพวกนี้มากิน เราสงสาร" หญิงสาวที่มากับรถกระบะพูดกับเรย์

                 "อรพูดถูกเราก็ไม่เห็นด้วย เดี๋ยวเราจะไปพูดกับบอมเอง" เรย์บอกกับอรหญิงสาวที่มากับรถกระบะ

                 "ยังไงก็ระวังๆไวด้วยนะเรย์ เราไม่ค่อยวางใจบอมเลย หมอนั่นชอบมองเธอแปลกๆมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว" อรบอกกับเรย์

                  "ขอบใจจ๊ะ" เรย์บอกกับอร

                  ผมได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองคนพูดอย่าชัดเจน ซึ่งก็แปลว่าการอ่านแววตาของผมไม่ผิดไปอย่างที่คิด ชายคนนั้นไม่น่าไว้วางใจจริงๆ

                   เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป ผมก็รีบดันช่องตะแกรงให้หลุดออกทันที เพื่อจะกระโดดลงมาด้านล่างเพื่อเข้ามาด้านในของโชว์รูม

                  ด้านในของโชว์รูมรถนั้นมีรถจอดอยู่มากมาย ผมเคยเห็นรถเหล่านี้ในทีวีหลายครั้งจนเป็นเรื่องปกติ ในนี้มีนักศึกษาชายหญิงเดินไปมาหลายคน ทุกคนมีอาวุทครบมือทั้งมีดทั้งไม้และปืน

                   ผมรีบวิ่งไปตามทางอย่างรวดเร็วและเงียบสนิทเพื่อตามหาน้ำค้างกับโตโต้ ที่นี่ค่อนข้างกว้างจนผมไม่รู้ว่าจะไปเริ่มหาทั้งสองจากที่ไหนก่อนดี

                  "ปล่อยพวกเราไปเดี๋ยวนี้เลยนะพวกแก!!!" ระหว่างที่ผมกำลังสับสนว่าจะไปทางไหนต่อ ผมก็ได้ยินเสียงของโตโต้ดังขึ้นมาที่ด้านนึงของโชว์รูม

                  "ร้องให้มันเบาๆหน่อยได้ไหมว่ะหนวกหู!!!" ชายคนนึงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูถือไม่เบสบอลเปื้อนเลือดทุบประตูห้อง ตะโกนว่าโตโต้ที่ถูกขังอยู่ในห้องนั้น

                 "พวกแกก็ปล่อยเราไปซิพวกผู้ใหญ่ใจร้าย!!!" โตโต้ตะโกนตอบไปด้วยความโกรธ

                  ผมควรจะทำอย่างไรดีจึงจะช่วยทั้งสองได้....

                 "บอมเราขอคุยด้วยได้ไหม" เสียงของเรย์ดังขึ้นข้างหลังผม ระหว่างที่ผมกำลังแอบอยู่ที่ตรงหัวมุม ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปแอบที่ใต้โต๊ะในห้องๆหนึ่งแถวนั้น

                "มาคุยกันในห้องนี้เถอะ" ชายร่างผอมที่ชื่อบอมชวนเรย์เข้ามาในห้องที่ผมเพิ่งเข้ามาแอบที่ใต้โต๊ะพอดี

                "เราอยากจะขอนายเรื่องเด็กๆพวกนั้น เราไม่ควรเอาพวกนั้นมากินเป็นอาหารมันผิด เราเห็นด้วยกับอร" เรย์เปิดฉากพูดทันทีเมื่อเข้ามาในห้อง

                 บอมชายร่างผอมเกาหัวตัวเองเบาๆเมื่อฟังเรย์พูดเรื่องนี้

               "คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้ เรารู้ว่าเธอรักพวกนั้นมาก เราเข้าใจนะ" บอมชายร่างผอมเดินไปเดินมาที่ประตู "แต่โลกเราตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เราแทบจะหาอาหารไม่ได้เลยตอนที่ออกไปข้างนอก อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะทำแบบนี้ บางที่เขาก็กินกันไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย"

                "แต่เราไม่เห็นด้วย" เรย์ยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

                "แล้วระหว่างอดตายกับพวกนั้นเธอจะเลือกอะไร" บอมเดินมาใกล้ๆเรย์แล้วพูดกับเธอเบาๆด้วยแววตาไม่น่าไว้วางใจ

               "เรายอมอดตาย ดีกว่าทำเรื่องแบบนั้น" เรย์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เธอพยายามเดินถอยหลังมาจนชนโต๊ะที่ผมแอบอยู่เมื่อบอมเดินเข้ามาใกล้เรย์เรื่อยๆ

                "เราก็คิดแบบนั้น...." บอยเดินเข้ามาใกล้เรย์เรื่อยๆเมื่อเธอเดินถอยมาติดโต๊ะด้านหลัง "เรามีข้อแม้ให้เธอเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน" บอยจับมือขวาของเรย์ขึ้นมา "ถ้าเธอยอมเป็นของเราๆจะปล่อยพวกนั้นไป ไม่ซิให้เธอดูแลพวกนั้นด้วยก็ได้เราสัญญา"

                "เธอว่าอะไรนะบอย!!!" เรย์คิ้วขมวดเธอสะบัดมือออก และถามบอยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

                "เราน่ะแอบชอบเธอมานานแล้วนะเรย์ ตั้งแต่เราอยู่ปีหนึ่งเราก็ตามแอบดูเธอมาตลอด เรารู้ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไรเรารู้หมด เพราะเราตามดูเธอมาตลอดทุกวินาที" บอยโชว์โทรศัพท์มือถือที่มีรูปขอเรย์ที่แอบถ่ายเอาไว้มากมาย ทั้งรูปตอนอยู่บ้านที่แอบถ่ายทางหน้าต่าง รูปไปข้างนอกและรูปที่มหาวิทยาลัย

                 "นาย....!!!" เรย์อึ้งพูดอะไรไม่ออก

                 "ถ้าเธอยอมเป็นของเรานะเรย์ แม้แต่จักรวาลเราก็ให้เธอได้ถ้าเธอยอมเป็นของเรา" บอยทำตาโตหายใจแรง เขาคว้าข้อมือของเรย์ทั้งสองข้างขึ้นมา

                  "เราชอบเธอนะเรย์ ชอบมานานแล้วด้วย!!!" บอยพูดเสียงดังด้วยสีหน้าหื่นกระหาย

                 "จะบ้าไปแล้วหรอบอย!!!" เรย์สะบัดมือบอยออก "นายจะทำอะไรก็เชิญเราไม่ยุ่งด้วยแล้ว!!!" เรย์จะเดินออกจากห้องแต่ก็ถูกบอยวิ่งมาขวางเอาไว้

                 ตอนนั้นโทรศัพท์ของบอยก็หล่นลงมาบนพื้นตรงหน้าผม ในโทรศัพท์มีรูปผมกับเรย์กำลังนั่งคุยกันอยู่ ซึ่งนั่นก็แปลว่านายบอยคนนี้รู้ดีว่าผมกับเรย์รู้จักกัน

                  "ไม่ได้เราไม่ให้เธอไปหรอก!!!" บอยล๊อคประตูขวางทางไม่ให้เรย์ออกไป "ในเมื่อขอกันดีๆไม่ให้งั้นเราก็จะใช้กำลังกับเธอล่ะ!!!" บอยกระโจนเข้าปลุกปล้ำเรย์ที่กำลังตกใจ

                   ผมที่แอบดูอยู่รู้ทันทีว่าเรย์กำลังตกอยู่ในอันตราย ผมจึงรีบวิ่งออกมาจากใต้โต๊ะทันที

                 "ปล่อยแรย์เดี๋ยวนี้นะ!!!" ผมตะโกนเสียงดังออกไปจนชายร่างผอมที่บอยตกใจเมื่อได้ยินเสียงผมตะโกนของผม

                  "แก...!!!มาได้ยังไง!!!" บอยตะโกนถามด้วยความตกใจ

                  "ริคกี้!!!" เรยมากอดผมด้วยความดีใจ

                  "ปล่อยเรย์กับพวกเราเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!" ผมตะโกนบอกไป

                  "คิดว่าข้าจะกลัวแกรึไงไอ้หนู....!!!" บอยไม่มีทีท่ากลัวผมแม้แต่น้อย

                  "ริคกี้หนีไป!!!" เรย์บอกกับผม แต่ผมจะไม่หนีอีกแล้ว ผมจะปกป้องคนที่ผมรักด้วยชีวิต

                  "กรี๊ดดดดดด!!!! ก๊ากกกกก ก๊ากกกกก!!!!" ขณะที่เราทั้งสามกำลังอยู่ในห้อง ด้านนอกห้องก็มีเสียงร้องดังออกมา มีทั้งเสียงร้องด้วยความกลัวและเสียงของพวกผีดิบปะปนกัน

                   "เกิดอะไรขึ้น!!!" บอยที่กำลังตกใจตะโกนออกมา ตอนนั้นเองเรย์จึงฉวยโอกาสผลักบอยให้พ้นประตูและเปิดออกไปด้านนอกพร้อมกับผมทันที

                   "กรี๊ดดดดดดด!!!" เรย์วิ่งตามเสียงร้องไปพร้อมกับผม จนมาเจออรเพื่อนสาวของเรย์ที่วิ่งมาทางนี้พอดี

                   "เกิดอะไรขึ้นอร!!!" เรย์ถามอรที่วิ่งมาด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด

                    "ต้อม ต้อมเขาถูกกัดตอนออกไปหาของกินเมื่อเช้า!!! ตอนนี้เขากลายเป็นผีดิบไล่กัดทุกคนในนี้จนติดเชื้อไปกันหมดแล้ว เราต้องรีบหนีไปจากที่นี่!!!" อรบอกกับเรย์ด้วยความตกใจ

                    "เราต้องไปช่วยน้ำค้างกับโตโต้ก่อน!!!" ผมตะโกนออกมาก่อนจะรีบวิ่งไปช่วยเพื่อนทั้งสองคนทันที

                    "เดี๋ยวรอด้วยริคกี้!!!" เรย์วิ่งตามผมมาพร้อมกับอรเพื่อมายังห้องขังที่พวกโตโต้อยู่

                    ที่หน้าประตูห้องขังตอนนี้มีพวกผีดิบสามตัวกำลังนั่งรุมแทะร่างชายที่เฝ้าประตูคนนั้นอย่างหิวโหย มือที่ถือไม้เบสบอลยังสั่นกระตุกเป็นพักๆระหว่างถูกกิน

                   "เรารีบหนีจากที่นี่กันเถอะ!!!" อรบอกกับเรย์

                   "แต่เราต้องช่วยพวกเด็กๆก่อน!!!" เรย์บอกกับอร "งั้นเอาแบบนี้ เธอไปเอารถมาแล้วเราไปเจอกันที่ด้านหลังโชว์รูม เราช่วยเด็กๆพวกนี้ได้แล้วจะตามไป"

                    "ก็ได้....รีบมาล่ะ" อรบอกกับเรย์ก่อนจะรีบวิ่งไป

                    "เพื่อนเธออยู่ในนั้นใช่ไหมริคกี้" เรย์ถามผม

                     "ใช่!!!" ผมตอบเสียงดัง

                      "งั้นก็มีทางเดียวคือต้องสู้" เรย์บอกกับผม เธอหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรบางอย่าง จนไปเจอไม้หน้าสามที่เปื้อนเลือดตกอยู่แถวนั้น....

                     "นับสามนะริคกี้" เรย์บอกกับผม เราสบตากันเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะทำ ก่อนที่เรย์จะวิ่งออกไปเมื่อนับสาม

                     "สาม!!!" ไม่มีหนึ่งกับสองเมื่อเรย์นับ เธอรีบวิ่งออกไปจากจุดที่ซ่อนตัวทันที

                     "ก๊ากกกกก!!!" ผีดิบตัวนึงหันมาเห็นเรย์ที่วิ่งมาพร้อมไม้จึงรีบกระโดดลุกขึ้นยืน แล้วพุ่งมาทำร้ายเรย์ทันที

                    "ไปลงนรกซะเถอะ!!!" เรย์ฟาดไม้หน้าสามใส่ผีดิบผู้ชายที่วิ่งมาหาเธอที่หัวอย่างแรง จนมันล้มลงชักกระตุกบนพื้น

                    "ก๊ากกกก!!!" อีกสองตัวที่เหลือก็รีบลุกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรย์ตะโกน

                   "ขอโทษนะน้อง!!!" เรย์ตะโกนเสียงดังก่อนจะฟาดไม้ใส่ผีดิบเพื่อนสาวที่วิ่งมาอย่างแรง ก่อนจะหันมาฟาดใส่ผีดิบเพื่อนชายอีกคนอย่างรวดเร็วจนทั้งสองคนล้มลงไปกองบนพื้น

                    เรย์รีบเปิดประตูช่วยน้ำค้างกับโตโต้ออกมา

                    "นึกแล้วว่านายต้องมาช่วยเพื่อนยาก!!!" โตโต้ตะโกนด้วยความดีใจเมื่อเห็นผม

                    "มันเกิดอะไรขึ้น!!!" น้ำค้างตกใจเมื่อเห็นศพนอนตาย

                    "ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง ไปกันเถอะ!!!" ผมบอกเพื่อนทั้งสอง

                     "มาทางนี้เร็วเข้าเด็กๆ" เรย์ตะโกนเรียกพวกเราให้วิ่งตามมมาทันที

                     "ก๊ากกกกก!!!" เรย์ฟาดไม้ใส่เพื่อนที่เป็นผีดิบไม่ยั้งระหว่างทาง สีหน้าแววตาของเรย์นั้นมุ่มมั่นที่จะเอาชีวิตรอดมาก ขนาดพวกเราที่ตามหลังยังตกใจ

                      เรย์พาพวกเรามาจนถึงโรงจอดรถด้านหลังโชว์รูม โดยระหว่างทางเรย์ได้จัดการเพื่อนๆที่ติดเชื้อไปหลายคน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรย์ถึงยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้

                       "แปล๊น!!!" เสียงแตรรถดังขึ้นเมื่อพวกเรามาถึงโรงจอดรถ อรที่เห็นพวกเราจึงบีบแตรเรียก

                      "ทางนี้เด็กๆ!!!" เรย์บอกพวกเราให้วิ่งไป

                      "ก๊ากกกกก!!!" ระหว่างทางนั้นเองบอยที่กลายเป็นผีดิบไปแล้วกระโดดมาขวางหน้าเอาไว้

                     "ไปลงนรกซะเถอะไอ้โรคจิต!!!" เรย์ถีบบอยที่หน้าอกอย่างแรง ก่อนจะเอาไม้ฟาดที่หัวของเขาเมื่อบอยล้มลงไปนอนบนพื้น

                      "ขึ้นมาเร็วเข้า!!!" อรขับรถมารับเราทั้งหมด

                       "คนอื่นๆล่ะอร!!!" เรย์ถามเมื่อขึ้นมาบนรถ

                       "ตายหมดแล้ว เหลือแค่เราเท่านั้น ไปกันเถอะ!!!" อรบอกกับพวกเราก่อนจะรีบขับรถออกมาทันที

                       "ปลอดภัยแล้วนะเด็กๆ" เรย์ลูบหัวผมแล้วยิ้มให้

                        "ไม่ได้เรย์ผมคงไม่รอดขอบคุณนะครับ!!" ผมกระดิกหางตอบกลับไปด้วยความดีใจ

                        "ฉันก็คิดถึงนายริคกี้" เรย์ยิ้มให้ผม

                        "นี่น้องหมาของเธอหรอเรย์" อรถามเรย์ระหว่างขับรถออกมา

                         "จ๊ะ เป็นน้องหมาของป้าฉันเอง" เรย์บอกกับอร "ตอนแรกคิดว่านายตายไปแล้ว ได้เจอกันอีกครั้งแบบนี้ดีใจสุดๆไปเลย"เรย์กอดผม

                        "ผมก็เคยคิดว่าเรย์ตายไปแล้วเหมือนกัน ดีใจจังที่เจอ" ผมกระดิกหางไปมาด้วยความดีใจ

                        "ได้เจอเจ้านายด้วยอิจฉาแกจังริคกี้" โตโต้พูดกับผม

                         "ใช่ๆ" น้ำค้างกระดิกหางแลบลิ้น

                        "ยินดีที่รู้จักนะสาวน้อยกับรูปหล่อ" เรย์ลูปหัวน้ำค้างกับโตโต้ด้วยรอยยิ้ม

                        "แล้วเราจะเอายังไงต่อไปดี" อรถามเรย์ระหว่างขับรถไปบนถนนที่ว่างเปล่า

                         "ไม่รู้เหมือนกัน คงเดินทางไปเรื่อยๆนั่นล่ะ ใช่ไหมเพื่อน" เรย์หันมายิ้มกับผม

                         "ใช่ๆๆๆ" ผมตะโกนบอกไปด้วยความดีใจ....
                         
                          อ่าน....มาถึงตรงนี้แล้วคุณคงไม่ต้องแปลกใจนะครับ ผมกับโตโต้และน้ำค้างคือสุนัขครับไม่ใช่คน นี่คือเรื่องราวของเราเรื่องราวของหมาน้อยสามตัวในโลกอันโหดร้าย แต่ตอนนี้กลับเพิ่มคนมาอีกสองคน

                     ถ้าคุณไม่เชื่อว่าพวกเราคือหมาน้อยคุณก็กลับไปอ่านใหม่อีกครั้งได้ครับ แล้วคุณจะเข้าใจ

                    ต่อจากนี้ไปผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมมีเรย์มีเจ้าอ้วนโตโต้มีน้ำค้างและมีอร แค่นี้ผมก็พร้อมจะมีชีวิตอยู่บนโลกที่มีแต่ผีดิบแล้วครับ.....

                   "โฮ่ง!!! โฮ่ง!!!" ผมตะโกนเสียงดังออกนอกหน้าต่างท่ามกลางถนนที่รกร้างไร้ซึ่งมนุษย์.....

                                                                                 จบ



Scoop พิเศษเนื้อเรื่องจากเกมซอมบี้


         
                     Scoop เกมซอมบี้เนื้อหาโหดๆ

                 โดยปกติผมจะหาข้อมูลเกี่ยวกับซอมบี้จากหนังเป็นส่วนมาก แต่มักจะหาหนังดีๆสนุกๆดูยาก ส่วนมากจะเป็นหนังเกรดB ขายดราม่าตัวละครที่เอาแต่พร่ำเพ้อพูดนั่นนี่เมื่อโลกมีแต่ซอมบี้ ไม่ก็หนังซอมบี้ทุนต่ำที่เอายาแดงมาทาหน้าเดินเป็นซอมบี้ก็มี ตรงข้ามกับเกมที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้มากมายให้เราดู บางเกมมีเนื้อหาสนุกพอที่จะทำเป็นหนังได้เลย

                 เท่าที่ผมคิดนะครับ คงเป็นเพราะไม่ต้องใช้คนแสดงไม่ต้องไปเช่าฉากไม่ต้องไปถ่ายตามเมืองร้างหรือตามป่า จึงสามารถสร้างโลกของซอมบี้ออกมาง่ายกว่าคนแสดง

                  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูเกมซอมบี้ที่เนื้อหาสนุกกันครับ โดยผมจะแนะนำแค่เนื้อเรื่องเท่านั้นนะครับ ไม่ขอพูดถึงระบบเกมเพราะมันคนละส่วนกัน พร้อมแล้วเชิญพบกับเกมแรกเลยครับ

                  เกมที่1.the last of us

               

                         ซอมบี้ประเภท. พวกวิ่ง เร็วส่งเสียงเรียกพวกเดียวกันได้ แพร่เชื้อโดยการกัด มีจุดอ่อนที่หัวและอันตรายสุดๆ(ในเกมถูกกัดครั้งเดียวตายเลย)
                                                         
                                                                       ซอมบี้หัวเห็ด
                                                     
                         เนื้อเรื่องกล่าวถึงโลกอนาคตอันใกล้ เมื่อจู่ๆมนุษย์ก็ถูกจู่โจมแบบไม่ตั้งตัวโดยเหล่าซอมบี้เห็ด(เชื้อรา) ที่ไล่กินมนุษย์และแพร่เชื้อให้กับคนที่ถูกกัด เวลาผ่านมาเป็นสิบๆปีมนุษย์กลุ่มสุดท้ายได้สร้างกำแพงล้อมรอบเมืองเล็กๆแห่งนึงไว้ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างยากลำบาก

                           พระเอกของเราคือเป็นชายวัยกลางคนที่สูญเสียลูกไปเมื่อครั้งซอมบี้หัวเห็ดบุก เขาเลี้ยงชีพโดยการออกไปนอกกำแพงหาของมาขายด้านใน แม้จะเสี่ยงแต่ผลที่ให้ก็คุ้มค่าพอจะเลี้ยงชีพ วันนึงมีคนกลุ่มนึงมาจ้างพระเอกให้พาสาวน้อยคนนึงไปส่งที่อีกเมืองนึงให้ที โดยมีค่าตอบแทนอย่างงามมอบให้ ซึ่งเด็กน้อยเกิดในยุคหลังโลกถูกทำลาย จึงไม่เคยรู้ว่าด้านนอกกำแพงมีอะไร....

                        ระหว่างทาง(ในเกม)เราต้องเจออะไรมากมาย ทั้งคนกันเองที่ดักปล้นเรา ทั้งพวกโรคจิตที่จะข่มขืนเด็ก จนสุดท้ายเราก็รู้ว่าแม่หนูคนนี้ถูกซอมบี้กัดแต่ไม่ติดเชื้อ ซึ่งตัวเธอจะเป็นยาแก้อย่างดีในอนาคตถ้าผ่าสมองเธอออกมาศึกษา ซึ่งถึงตอนนั้นพระเอกเราก็ผูกพันกับสาวน้อยจนรักเหมือนลูกสาวไปแล้ว การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นก่อนจะจบลงที่ความเห็นแก่ตัวของพระเอก แทนการช่วยโลกจากซอมบี้



                                          ในเกมไม่ได้สู้แค่กับซอมบี้ แต่ต้องสู้กับคนกันเองด้วย

                        เนื้อหาจบแบบโหดครับ แต่เนื้อเรื่องสนุกเกมก็น่าเล่นใครอยากรู้สนุกแค่ไหนไปเล่นได้ครับบนเครื่องPS3.





                 เกมที่2.dead rising



                              ซอมบี้ประเภท เดินช้าส่งเสียงครางหึ่งๆมากันเป็นฝูง จุดอ่อนอยู่ที่หัว แพร่เชื้อโดยการกัดและถูกผึ้ง(ที่ตัดแต่งดีเอ็นเอ)ต่อย มียาชลอการเป็นซอมบี้เมื่อถูกกัด แต่ต้องฉีดทุกๆ24ชั่วโมงไปตลอดชีวิต

                                             

                                                เดินช้าแต่มาเป็นฝูงนะจะบอกให้

                          เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระเอกของเราที่เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ วันนี้เขากับเพื่อนนั่งเฮลิคอปเตอร์มาถ่ายรูปวิว จนไปถึงเมืองๆนึงที่มีซอมบี้บุกสร้างความวุ่นวาย เราที่อยากทำข่าวจึงลงไปที่ห้างๆนึงที่มีผู้รอดชีวิตอยู่ แต่ด้วยความงี่เง่าของยัยป้าคนนึงที่เห็นหมาสุดที่รักอยู่นอกประตู(ซอมบี้ไม่กินหมา) จึงไปเปิดรับหมาพร้อมกับซอมบี้เข้ามาในห้าง จนท้ายเรื่องเราพบความจริงว่า ชายคนนึงต้องการแก้แค้นอเมริกาที่เอาหมู่บ้านตนเป็นเหยื่อทดลองเชื้อไวรัส เขาจึงส่งคนที่ติดเชื้อไปทั่วโลก(ไม่ใช่แค่เมืองนี้)

                           ภาค2.เป็นเนื้อหาต่อจากภาคแรกไม่กี่เดือน พระเอกเราเป็นนักขี่มอเตอร์ไซด์ซิ่ง เขาหารายได้จากการขี่มอเตอร์ไซด์โชว์ในเมืองคาซิโนแห่งนึง ที่มีกำแพงล้อมจากพวกซอมบี้ด้านนอก พระเอกเราต้องหาเงินมาซื้อยาซอมเบรก(ยาชลออาการเป็นซอมบี้)ให้ลูกสาว ก่อนจะมีคนมาวางระเบิดประตูและปล่อยซอมบี้เข้ามา โดยเบื้องหลังก็เพราะความโลภของเจ้าของเมืองที่ต้องการสร้างความวุ่นวาย ก่อนจะหอบเงินที่ขโมยได้หนีไปจากเมืองนี้....

                          ภาค3.เกมเพิ่งออกยังไม่ได้เล่นเลยบอกไม่ถูก




                      เกมที่3.dead island

                   



                          ซอมบี้ประเภท วิ่งเร็วมีหลากหลายรูปแบบตามสภาพร่างกาย แพร่เชื้อโดยการกัด มีจุดอ่อนที่หัว และมีพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งเพื่อการไล่ล่าเหยื่อ

                         
                                                   
                                                            แบบนี้คงรอดยาก

                                  เนื่อเรื่องก็กล่าวถึงกลุ่มคนที่พยายามจะหนีออกจากเกาะนรกเท่านั้น โดยเราต้องเล่นเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวหรือพนักงานโรงแรมเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ โดยที่ตอนท้ายทุกคนสามารถหนีทางเครื่องบินได้ ก่อนจะล่อนลง(เครื่องพัง)บนเกาะอีกแห่งที่มีแต่ซอมบี้เช่นเคย(ในภาค2) เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากครับ

             

                                                          มีอาวุทอะไรก็ใส่ไม่ยั้ง....

                     ตัวเกมเน้นสู้ๆฟันๆๆๆหนีๆๆๆช่วยคนตามภาระกิจ เนื้อเรื่องจึงไม่มีอะไรเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับเกมด้านบน




                        เกมที่4.resident evil outbreak





                    ซอมบี้ประเภท เดินช้า แพร่เชื้อโดยการกัด มีจำนวนมากแถมยังมีสัตว์กลายเป็นซอมบี้ด้วย(เกมอื่นไม่มี) จุดอ่อนอยู่ที่หัว

                                         

                                                     ซอมบี้หลากหลายอาชีพมาแบบเละๆ

                   เนื้อเรื่องกล่าวถึงกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อหนีออกมาจากเมืองแรคคูนซิตี้ โดยเรามีหลายหลายอาชีพในเกมให้เลือก ต่างคนต่างก็มีความสามารถแตกต่างกัน เช่นตำรวจก็มีปืน ชายร่างใหญ่ก็อึด สาวน้อยก็พกของได้มาก พนักงานร้านอาหารก็ไขประตูที่ล๊อคได้ โดยเนื้อเรื่องจะเป็นฉากๆแต่ล่ะฉากก็มีเนื้อเรื่องของมันไม่ต่อเนื่องเกี่ยวกันเลย

                   ยกตัวอย่างเช่นฉากสวนสัตว์ ผู้รอดชีวิตต้องหนีเข้าไปในสวนสัตว์เพราะมันเป็นทางลัดที่จะออกนอกเมืองได้ โดยที่้ข้างในทุกคนต้องเจอสัตว์อย่างช้าง เสือ จระเข้ ที่เป็นซอมบี้


                                                       
                                                          ช้างซอมบี้....เจอแล้วต้องร้องเพลงนี้
                      ช้างๆๆๆๆน้องเคยเห็นช้างรึเปล่า...ช้างมันตัวโตไม่เบา มีเขียวยาวๆเรียกว่าฟัน มันจะกินเราถ้าไม่หนี มีหูมีตาวิ่งเร็ว...!!!(กรุณาอ่านแบบเพลง)
               
                  อีกเนื้อเรื่องก็กล่าวถึงโรงพยาบาลร้างกลางป่าที่มีชายสวมไอ้โม่ง ถือเลื่อยยนต์ไล่ฆ่าคนที่ผ่านมาเพื่อเอามาเป็นอาหารให้ต้นไม้(กินคน)ในนั้น โดยที่พี่แกคิดว่าต้นไม้นั้นคือเมียที่จากไปเพราะมะเร็ง ซึ่งความจริงแล้วชายไอ้โม่งไม่รู้เลยว่าเมียตนเองถูกใช้ในการทดลองสร้างสัตว์ประหลาด และผลที่ออกมาคือเป็นต้นไม้กินคน ซึ่งพวกผู้รอดชีวิตก็ต้องหนีออกมาพร้อมกับฆ่าต้นไม้นั้น

                  ความจริงเนื้อเรื่องมีแยกย่อยหลายตอนมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีตอนเด่นๆมากนักเพราะมันเป็นภาคเสริมของเกมตัวเต็ม(ภาคหลักของ 123456) ซึ่งภายหลังจะเอามาเล่าให้ฟังครับ




                 คงได้สาระความสนุกของเนื้อหาเกมซอมบี้ไปบ้างแล้ว....คราวหน้าถ้ามีโอกาสผมจะเอาเรื่องเกี่ยวกับซอมบี้เรื่องอื่นมาเล่าให้อ่านอีกนะครับ....



ตอนที่9. เธอ



                     ตอนที่9.เธอ

                     "นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่วันนั้น วันที่ทุกอย่างจบลงแบบพังพินาศวอดวาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยมีเคยสร้างสมกันมาเป็นร้อยๆพันๆปี กลับจบลงภายในวันเดียว เมื่อจู่ๆกองทัพคนตายที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ลุกขึ้นออกมาไล่ฆ่าจับคนมากินเป็นอาหาร คนที่ถูกกัดจะติดเชื้อและกลายเป็นผีดิบแบบเดียวกันกับพวกมัน วงจรการแพร่เชื้อจึงขยายอย่างรวดเร็วและควบคุมไม่อยู่"

                     ที่มุมตึกแห่งนึงแถวเยาราชชายหนุ่มวัย30ปีเศษผมสั้นเคราขึ้นเล็กน้อย สวมเสื้อยืดสีขาวขางเกงยีนส์ขายาวสีดำ สะพายเป้สีเขียวขี้ม้าเก่าๆ1ใบ กำลังวิ่งจากถนนฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยมีพวกศพสามตัวกำลังส่งเสียงร้องวิ่งไล่ตามเขามาอย่างไม่คิดชีวิต

                    "คนเหล่านี้ถูกเรียกว่าพวกศพเดินได้ เป็นชื่อที่ถูกเรียกโดยนักข่าวทางทีวีเมื่อหลายเดือนก่อนสมัยที่ยังมีไฟฟ้าใช้ ตอนนั้นทั่วทุกมุมโลกต่างเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นพร้อมกัน ตามข่าวที่รายงานมาทางทีวี มันสร้างความแตกตื่นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงพร้อมกับการออกอากาศในวันนั้น"

                     ชายหนุ่มทั้งวิ่งและกระโดดข้ามรถที่จอดอยู่เต็มถนนได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกศพยังวิ่งชนรถหกล้มหกลุกไม่เป็นท่า จนเขาสามารถข้ามถนนเข้ามาในซอยตรงข้ามได้สำเร็จ....

                     "วันที่เกิดเรื่องวันนั้นผมเองเพิ่งกลับมาจากทำงานที่หัวลำโพง ผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้ พ่อแม่ผมตายตั้งแต่ยังเล็กส่วนป้าที่เลี้ยงมากับลุงก็เพิ่งจะเสียหลังผมเรียนจบไม่นาน ชีวิตผมอยู่ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว"

                     เมื่อเข้ามาในซอยชายหนุ่มก็หันไปเห็นประตูที่เป็นทางเข้าห้องเช่า เขาจึงถีบประตูบานนั้นด้วยเท้าเต็มแรง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในนั้นพร้อมกับเล็งปืน เบเร็ตต้า M92F ในท่าเตรียมพร้อมก่อนจะรีบปิดประตูเพื่อแอบพวกศพที่วิ่งตามมาทีหลังได้อย่างหวุดหวิดโดยที่พวกมันไม่เห็น

                     "คงเพราะการอยู่คนเดียวจนชิน จึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงที่สนิทไม่มีแฟนไม่มีเพื่อนร่วมงานที่จะไปกินเหล้าด้วย ทำงานเสร็จกลับบ้านนั่งเช็ดปืนวันหยุดก็ไปสนามยิงปืนซ้อมมือเพื่อความสนุก ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าปืนที่ใช้ยิงเป้ากระดาษจะได้ใช้ยิงสิ่งมีชีวิตกับเขาด้วย"

                     ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งหอบด้วยความโล่งอก ในมือของเขามีแผนที่กระดาษที่บังเอิญไปเจอมาจากศพของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนนึง เพื่อสิ่งนี้เขาจึงยอมเสี่ยงวิ่งไปเพื่อให้ได้มันมา

                    "ตอนที่เกิดเรื่องพอได้รู้ข่าวจากทีวีก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นอนเครียดนั่งเครียดทนฟังเสียงร้องโหยหวนเสียงระเบิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนอกห้องอยู่หลายวัน จนปลากระป๋องกับไข่ที่มีในตู้เย็นหมด จึงต้องคว้าปืนกับของจำเป็นใส่เป้ออกมาข้างนอก จากนั้นก็หนีมาเรื่อยๆอาศัยที่เป็นคนวิ่งเร็วเลยรอดมาได้ทุกครั้ง จนมารู้สึกตัวอีกทีก็หลงมาอยู่ส่วนของกรุงเทพแล้วก็ไม่รู้"

                    เมื่อหายเหนื่อยชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินสำรวจภายในห้องเช่าของตึกสามชั้นแห่งนี้ทีละห้อง เขาค่อยๆเดินทีละก้าวอย่างช้าๆและระมัดระวังตัว ไฟฉายที่มีช่วยได้มากในการเดินสำรวจภายในตึกห้องเช่าที่มืดสนิท เสียงที่ชายหนุ่มได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าเดินของเขาเท่านั้น ความเงียบนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียไปพร้อมๆกัน

                    "แอ๊ดดดด!!!!" เสียงประตูที่ดังจากบานพับขึ้นสนิมชวนให้เสียวสันหลังทุกครั้งเมื่อประตูเปิด เขาต้องลุ้นว่าด้านหลังประตูห้องทีละห้องนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง

                   "เฮ้อ..." ชายหนุ่มอุทานอย่างโล่งอก เมื่อส่องไฟไปในห้องไม่พบอะไรนอกจากห้องเปล่าๆ เขาจึงเข้าไปสำรวจหาอาหารและของที่พอจะใช้ได้ทีละห้อง

                   "ก็ยังดี" ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเมื่อค้นเจอปลากระป๋องกับขนมสองสามห้อตามห้องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของห้องเหล่านี้จะทิ้งห้องของตัวเองเมื่อตอนที่เกิดเรื่อง

                   "อุ๊บ...!!! บ้าเอ็ย...!!!" เมื่อเปิดเข้าไปในห้องหนึ่งที่ชั้นสอง เข้าก็พบศพของพ่อแม่ลูกสามคนแขวนคอตายอยู่ในห้อง คาดว่าทั้งสามคนคงจะกลัวจนทำอะไรไม่ถูก จึงปลิดชีวิตของตนเองแทนที่จะออกไปข้างนอกแล้วถูกพวกศพกินทั้งเป็น

                  "ผมไม่รู้หรอกนะว่าอันไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปจากโลกนี้ หรือต้องทนเอาชีวิตรอดไปวันๆแบบนี้อันไหนจะดีกว่ากัน"

                  ชายหนุ่มเลือกที่จะพักที่ชั้นสามห้องริมสุดใกล้ประตูดาดฟ้า เข้าสำรวจที่ห้องครัวเจอถังแก๊สปิคนิคใบเล็กและน้ำก๊อกที่ยังไหลอยู่ เพราะแท็งค์เก็บน้ำบนดาดฟ้ายังมีน้ำอยู่ เขาจึงเอาน้ำมาต้มเก็บไว้ดื่มในครั้งต่อไป

                  "ท้องฟ้าใกล้มืดลงแล้วแสงอาทิตย์กำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว กลางคืนนับว่าเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ เพราะพวกศพจะออกวิ่งไล่ล่าหาอาหารเหยียบบนหลังคารถส่งเสียงดังโครมคราม บ้างก็กรีดร้องอย่างโหยหวนชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก"

                  ชายหนุ่มล๊อกประตูห้องอย่างแน่นหนา เขาแง้มหน้าต่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อเปิดรับลมในวันที่ร้อนอบอ้าว แสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงทำให้มองเห็นทุกสิ่งบนถนนตอนนี้ชัดเจน

                  "นานๆครั้งเมื่อมีโอกาสผมจะแอบมองสิ่งต่างๆด้านนอกยามค่ำคืน" ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปที่หน้าต่างแอบดูสิ่งต่างๆบนถนนจากด้านบนห้อง

                  "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก ตึง!!! ตัง!!! โครม!!! คราม!!!" เสียงของพวกศพที่มีดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนในความมืด กำลังวิ่งกระโดดอยู่บนหลังคารถบนถนนส่งเสียงดังตลอดทาง ทุกตัวสอดส่ายสายตาไปมาในความมืดเพื่อหาอาหาร ซึ่งก็คือมนุษย์เป็นๆอย่างชายหนุ่ม

                 พวกศพนั้นสามารถล่าเหยื่อ(มนุษย์)ได้ทั้งกลางวันกลางคืน แต่ในช่วงกลางคืนมันจะมีสายตาที่ดีกว่ามองเห็นได้ชัดกว่าตอนกลางวัน ที่พวกมันต้องอาศัยเสียงในการล่าเหยื่อ

                 "ข้อดีของการเป็นคนช่างสังเกตุสิ่งต่างๆรอบตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมของพวกศพว่ามันออกล่าตอนไหน จึงทำให้ผมสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้"

                ชายหนุ่มเลิกดูที่หน้าต่าง เข้าเดินมาสำรวจโต๊ะภายในห้องที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตั้งอยู่ ชายหนุ่มลองเปิดดูก็พบว่ามันยังพอมีแบตอยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตี๋สวมแว่นกำลังยืนคู่กับหญิงสาวหน้าหมวยอีกคนที่เป็นแฟน โดยมีวิวด้านหลังเป็นน้ำตก ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข

                "จะว่าไปตั้งแต่ที่ผมหนีตายมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เจอคนอื่นที่เป็นผู้รอดชีวิตเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมีคนเป็นๆเหลืออยู่ไหม หรือจะมีผมคนเดียวที่เป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย"

               ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆด้วยความหดหู่ เขาปิดคอมพิวเตอร์แล้วล้มตัวนอนคุดคู้ภายในห้องอันมืดมิด ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความตาย....

              "กรี๊ดดดดด!!!! กรี๊ดดดดด!!!" รุ่งขึ้นชายหนุ่มต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นใกล้ๆกับที่ที่ตนอยู่

              ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นมาที่ประตูเพื่อฟังเสียงที่ได้ยินอย่างระมัดระวัง เขากำปืนในมือจนแน่นนิ้วชี้ข้างขวาอยู่ที่ไกปืนในท่าเตรียมพร้อม ใจของเขาเต้นรั่วไปด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงร้องของคนที่ไม่ใช่เสียงร้องของพวกศพ

              "ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!! ปัง!!! ปัง!!! ตึง!!! ตึง!!!" หลังจากเสียงร้องของหญิงสาวก็มีเสียงร้องของศพที่ร้องตามมา พร้อมกับเสียงทุปประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆกับห้องที่เขาอยู่

              "พี่คะนี่หนูเองนะ!!! พี่จ๋า!!!" เสียงหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง สร้างความมั่นใจให้ชายหนุ่มมากขึ้นว่าเขาได้ยินไม่ผิด นั่นคือเสียงของมนุษย์คนอื่น

              ชายหนุ่มค่อยๆแง้มประตูห้องของตนเองอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มคนนึงอายุราว30ต้นๆที่เปลี่ยนสภาพเป็นศพที่กระหายเลือด กำลังทุบประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของตนอย่างบ้าคลั่ง ที่แขนขวาของเข้ามีผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดอยู่

              "กรี๊ดดดดด!!!!" เสียงของหญิงสาวร้องด้วยความหวาดกลัวภายในห้อง

              "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก!!!" ผีดิบชายคนนั้นก็ส่งเสียงร้องและทุบประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง

              "ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่นานคงมีพวกศพตัวอื่นที่ได้ยินเสียงร้องมาสมทบที่นี่แน่ๆ" ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นเขาที่อยู่ห้องตรงข้ามก็คงต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ เพราะพวกมันจะไม่หยุดร้องหยุดทุบประตูจนกว่าจะพังเข้าไปได้

               เขามองปืนในมือที่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถฆ่ามันได้รวดเร็วที่สุด แต่มันก็มีเสียงดังซึ่งอาจจะเรียกพวกศพมาเพิ่มได้ด้วย

               ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุทชิ้นอื่นที่พอจะหาได้ จนไปเจอค้อนที่วางอยู่ในห้องพร้อมตะปูและไม้ คาดว่าเข้าของห้องคงคิดจะต่อเติมห้องจึงมีอุปกรณ์การช่างวางอยู่

              "เอาว่ะ" ชายหนุ่มกลั้นใจก่อนจะรีบเปิดประตูห้องตัวเอง แล้ววิ่งไปที่ผีดิบชายคนนั้นที่กำลังหันหลังให้ตน

               "พลั๊ก!!! พลั๊ก!!! ตุบ!!! ตุบ!!!" เสียงของค้อนเหล็กทุบลงบนกระโหลกศีรษะของผีดิบที่ด้านหลังโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว

               "แฮ่ก แฮ่ก!!!" ชายหนุ่มกระหน่ำทุบไม่ยั้งจนผีดิบแน่นิ่งล้มลงไปนอนชักกระตุกบนพื้น

               "ปลอดภัยแล้วคุณ ออกมาเถอะ!!!" ชายหนุ่มตะโกนเรียกหญิงสาวภายในห้องเมื่อเห็นว่าผีดิบตัวนั้นตายสนิทแล้ว เขาจึงลากศพมันออกไปพ้นประตูก่อนจะเรียกหญิงสาวออกมาจากห้อง

                "คุณเป็นคนใช่ไหม???" เสียงหญิงสาวตะโกนออกมา

                "คิดว่าน่าจะใช่ เพราะพวกศพ....เอ่อ...ผมหมายถึงพวกผีดิบมันพูดไม่ได้ แต่ผมพูดได้" ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดระหว่างพูด

                 "คุณไม่ทำร้ายฉันใช่ไหม" หญิงสะตะโกนออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                "ถ้าคุณถูกกัดนั่นก็อีกเรื่อง ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องกลัวผมไม่ทำร้ายคุณหรอก คิดว่างั้น" ชายหนุ่มนั่งลงที่หน้าห้องอย่างหมดแรง เมื่อทุ่มสุดตัวในการฆ่าศพตนนั้น

                 หญิงสาวภายในห้องช่างใจอยู่นานสองนานก่อนจะเปิดประตูออกมาด้านนอกห้อง

                 "ขอบคุณคะ" หญิงสาวสวมแว่นอายุราวๆ20ต้นๆไว้ผมยาวถักเปียสวมเสื้อยืดเก่าๆสีชมพูกางเกงยีนส์ขายาวร้องเท้าผ้าใบขาดๆ พูดกับชายหนุ่มด้วยท่าทางหวาดระแวง

                 "เข้ามาในนี้เถอะ ตรงนั้นมันอันตราย" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและชวนหญิงสาวเข้ามาในห้องของตน

               หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มเข้ามาโดยไม่พูดอะไร เธอหันไปมองรอยเลือดที่เป็นรอยถูกลากอยู่บนพื้นก่อนจะเดินเช้ามาในห้อง

                "คุณฆ่าเขาใช่ไหม" หญิงสาวถามชายหนุ่มที่กำลังรินน้ำใส่แก้วส่งให้เธอ

                "ใช่ ผมใช้ค้อนทุบเขาที่หัว เขาเป็นพี่ชายคุณใช่ไหม" ชายหนุ่มถาม

                 "!!!!????" หญิงสาวรับแก้วมาด้วยท่าทางตกใจ

                 "ก็เห็นคุณร้องตะโกนว่าพี่คะอย่าทำหนู ผมเลยเดาว่าคนๆนั้นคือพี่ชายคุณ" ชายหนุ่มเทน้ำอีกแก้วมาดื่มเอง

                "ค่ะ เขาคือพี่ชายของฉันเอง เขาถูกกัดเมื่อตอนรุ่งสางตอนที่เรากำลังเก็บของจะเดินทางต่อ ระหว่างทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้วก็มาทำร้ายฉันจนฉันวิ่งหนีมาที่นี่" หญิงสาวดื่มน้ำจนหมดแก้วเมื่อพูดจบ

                 "เสียใจด้วยนะครับ ผมชื่อสินยินดีที่รู้จัก" ชายหนุ่มแนะนำตัว

                 "อ้อมคะ" หญิงสาวตอบ

                 "คุณจะไปที่ไหนหรออ้อม" ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเพื่อหาของกิน เขาเทปลากระป๋องที่เจอใส่จานที่หยิบมาจากห้องครัวพร้อมช้อนส่งให้หญิงสาว

                  "ไม่รู้คะ แค่หนีไปเรื่อยๆ เอาชีวิตรอดไปวันๆ ขอบคุณค่ะ" อ้อมยกมือไหว้ก่อนรับจานที่ใส่ปลากระป๋องมา

                  "แล้วคุณสินล่ะคะจะไปไหนต่อ" อ้อมถามคืนระหว่างตักปลากระป๋องขึ้นมาทาน

                  "ไปจากกรุงเทพ ไปที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากผู้คน ที่ไม่มีพวกศพออกไล่กินเรา คงเป็นหมู่บ้านตามป่าเล็กๆตามสวนจะได้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้" สินตอบระหว่างหยิบมันฝรั่งทอดกรอบที่เหลืออยู่ก้นถุง มัดด้วยหนังยางอย่างดีออกมากินเป็นอาหารเช้า

                  "เป็นความคิดที่ดีมากๆเลยคะ" อ้อมพูดด้วยแววตาแปลกใจมองมาทางสิน "แต่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันคะ ถนนทุกสายในกรุงเทพมีรถติดเต็มไปหมด ไหนจะพวกผีดิบที่อยู่ข้างนอกอีกแทบไม่มีทางที่เราจะขับรถออกไปได้เลย"

                  "ไปทางรถคงยากครับ แต่ถ้าทางรถไฟคงไม่ยากอะไร" สินเอาแผนที่ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวเมื่อวันก่อนให้อ้อมดู

                   "ผมบังเอิญไปเจอแผนที่มาจากศพนักท่องเที่ยวฝรั่ง" เขากางแผนที่ลงบนโต๊ะ "ถ้าเราไปทางรถไฟลงใต้เราจะผ่านชนบทลงบนสถานนีที่ไม่ค่อยมีคนที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆแถวๆชานเมือง ที่นั่นเราอาจจะปลอดภัย เพราะคงไม่มีพวกผีดิบมากแบบในเมือง"

                   "ทางรถไฟหรอคะ" อ้อมอุทานออกมาเบาๆ

                  "ครับ พอดีผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้พอดี ถ้าไปถึงที่นั่นผมอาจจะหาทางขับมันออกไปต่างจังหวัดได้" สินมองหน้าอ้อมเมื่อพูดจบ

                  "หรอค่ะ" อ้อมหันมามองหน้าสินเมื่อรู้ว่าเธอกำลังถูกมอง ทั้งสองจึงกระเด้งตัวออกมาจากกันโดยอัตโนมัติด้วยความเขินอาย

                  "คุณจะไปด้วยไหมครับ" สินถามเบาๆด้วยความเขินอาย

                 "ถ้าคุณไม่ว่าอะไรฉันก็ขอไปด้วยคนค่ะ" อ้อมตอบด้วยท่าทางอายไม่แพ้กัน

                  "ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เราค่อยเดินทางกัน" สินรีบเก็บแผนที่ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก เมื่ออยู่กับสาวสวยสองต่อสองในห้อง

                "เอ่อ...ห้องน้ำใช้ได้นะครับ น้ำยังพอมีแก๊สก็พอจะใช้ได้คุณต้มน้ำอาบได้เลยครับ เอ่อ เดี๋ยวผมขอไปสำรวจห้องอื่นๆที่เหลือต่อแล้วกัน เพื่อจะเจอของกินหลงเหลืออยู่บ้าง" สินพูดจบก็คว้าค้อนในมือแล้วรีบออกไปจากห้องทันที

                 ชายหนุ่มหัวใจเต้มแรงเมื่อออกมาจากห้อง ใจเขาเต้นไม่เป็นปกติตั้งแต่เจอหน้าอ้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ปกติเขาแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับสาวๆเลย เพราะมัวแต่ทำงานและหมกมุ่นอยู่กับปืนอยู่กับตัวเองคนเดียวด้วยความเคยชินมาตั้งแต่เด็ก พอมาเจอสาวสวยน่ารักที่ตรงใจในโลกที่สาปสูญ ก็ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                 "ทำงานๆ" เขารวบรวมสติให้กลับมา ก่อนจะเดินสำรวจห้องต่างๆที่เหลืออยู่สองสามห้องเพื่อหาอาหาร

                 จนเมื่อสำรวจครบทุกห้องเขาก็ได้ยาพารากับยาล้างแผลและอาหารแห้งจำพวกขนมขบเคี้ยวมาพอสมควร แม้จะไม่อิ่มท้องและอาจจะทำให้สูญเสียน้ำไปกับผงชูรส แต่ในโลกที่ของกินหายากพอๆกับการมีชีวิตอยู่ การเจอสิ่งเหล่านี้ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย

                เมื่อเข้ามาในห้องสินก็ไม่พบอ้อมอยู่ในห้องแต่อย่างใด ข้าวของๆเธอก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงอาหารและสิ่งของๆเขาเท่านั้นที่วางอยู่ในห้อง....

                "ไปแล้วหรอ" สินพูดเบาๆกับตัวเองอย่างหมดหวัง เมื่อหญิงสาวหายตัวไปตอนที่เขาไม่อยู่

               "กลับมาแล้วหรอคะ" เสียงหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดใหม่ที่เธอเปลี่ยนหลังอาบน้ำ

               "กะกลับมะมาแล้วครับ ดะได้อาหารกับยามาด้วย" สินลุกขึ้นยืนตอบเบาๆด้วยท่าทางเขินอาย ความจริงเธอแค่เอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้ามาด้วยเปลี่ยนชุดเท่านั้น

               "คุณสินนี่เก่งจังเลยนะคะที่อยู่คนเดียวมาได้จนถึงตอนนี้" อ้อมพูดยิ้มๆ "ต่างกับอ้อมที่ถ้าไม่มีพี่อุ้มอ้อมคงตายไปนานแล้ว เขาช่วยชีวิตอ้อมมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น" อ้อมนั่งบนเก้าอี้พูดกับสิน

               "วันนั้นอ้อมต้องไปสอบที่มหาลัย พี่อุ้มเป็นคนขับรถพาไปส่ง ระหว่างทางบนถนนก็เกิดอุบัติเหตุวุ่นวายเต็มไปหมด รถของเราถูกรถเมล์ชนที่ท้ายจนเสียหลักพุ่งไปชนร้านขายของเข้า จากนั้นพี่อุ้มก็พาอ้อมหนีออกมาจากตรงนั้นมาซ่อนในร้านขายของอยู่หลายวันโดยไม่ไปไหน" อ้อมนั่งก้มหน้าเล่าเสียงสลด

                "มีการยื้อแย่งอาหารตอนที่เกิดเรื่องในร้านที่เราอยู่ พี่อุ้มเป็นไปเอาอาหารมาตุนเอาไว้เพื่อความอยู่รอดของเราสองคนพี่น้อง จนอาหารหมดเราสองคนก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆจนพี่เขาถูกกัดเมื่อเช้าวันนี้" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อพูดถึงตรงนี้

            "พี่ชายของคุณคือคนเก่งครับ ผมเองไม่เก่งเท่าครึ่งของพี่ชายคุณเลย" สินพูดปลอบใจ "เอาอย่างนี้ไหมครับ เรามาทำพิธีศพเขากัน อย่างน้อยเราก็จะได้ร่ำลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย" สินออกความเห็น

            อ้อมที่ก้มหน้าร้องไห้พยักหน้ารับคำที่สินพูด

            "งั้นรอตรงนี้นะครับ" สินรีบออกไปจากห้องเพื่อไปเอาผ้าปูเตียงมาจากห้องพักห้องอื่น ก่อนจะเอามาห่อศพของอุ้มพี่ชายของอ้อมที่เขาทิ้งเอาไว้ที่บนดาดฟ้า

             เมื่อห่อศพเสร็จเรียบร้อยเขาก็เรียกอ้อมให้ออกมาที่ดาดฟ้า พร้อมกับส่งดอกไม้แห้งที่ไปเจอมาบนหิ้งพระให้กับอ้อม เพื่อเป็นการไวอาลัยครั้งสุดกับพี่ชายของเธอ

             "ขอบคุณนะค่ะพี่อุ้มที่ดูแลอ้อมมาตลอด หนูสัญญาคะว่าหนูจะมีชีวิตรอดต่อไปตามที่พี่สั่ง หนูให้สัญญา" อ้อมวางดอกไม้ลงบนศพก่อนจะร้องไห้วิ่งมากอดสิน

              "เข้าไปข้างในเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการต่อเอง" สินบอกกับอ้อมในอ้อมกอด

              "ขอบคุณคะที่ช่วยทำศพพี่อุ้มให้" อ้อมเช็ดน้ำตาพูดกับสิน

              "ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ เพราะผมเป็นคนที่ฆ่าพี่ชายคุณ ผมไม่มีทางเลือก" สินบอก

              "คุณไม่ผิดหรอกค่ะ ความจริงตอนนั้นพี่อุ้มก็บอกอ้อมเป็นครั้งสุดท้ายให้อ้อมฆ่าเขา แต่อ้อมทำไม่ลงจนเขาเปลี่ยนอ้อมจึงต้องหนีมา" อ้อมบอกกับสิน

                "ค่อยสบายใจหน่อย คุณไปเถอะเดี๋ยวผมจะเอาศพพี่ชายคุณไปนอนในห้องว่างๆบนที่นอนเอง" สินบอกกับอ้อมก่อนจะลากศพของอุ้มไปไว้ในห้องว่างๆห้องนึง และจัดเขาให้นอนบนที่นอนในห้องว่างห้องนั้นก่อนจะออกมา

                  "ขอบคุณอีกครั้งคะพี่สิน" อ้อมยกมือไหว้สินอีกครั้งเมื่อเขาเดินกลับมาที่ห้อง

                  "ไม่เป็นไร" สินพูดเขินๆ "พักผ่อนเถอะพรุ่งนี้เราจะได้เดินทางแต่เช้าไปที่หัวลำโพงกัน" สินพูดกับอ้อมก่อนที่จะแยกไปเตรียมอาหารเย็น

                  ทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยขนมและปลากระป๋องที่พอมีอยู่ภายในห้องที่ค่อยๆเริ่มมืดลงช้าๆ

                   "คืนนี้คุณนอนบนเตียงไป เดี๋ยวผมจะนอนข้างล่างเอง" สินบอกกับอ้อมเมื่อทานอาหารเสร็จ เขาจุดเทียนเล่มนึงเมื่อความมืดเริ่มมาเยือนภายในห้อง "และห้ามชะโงกออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ห้ามจุดไฟทุกชนิดด้วยนะ พวกมันอาจจะเห็นได้" สินบอกกับอ้อม

                   "คะ" อ้อมรับคำก่อนจะเห็นโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ "มันยังใช้ได้อยู่ไหมคะ" อ้อมถามสิน

                   "ยังพอมีแบตอยู่ เปิดฟังเพลงก็ได้นะในคอมน่าจะมีเพลงอยู่" สินเปิดเพลงที่เซพอยู่ในคอมเบาๆให้อ้อมฟัง

                   "คิดถึงจังเลยนะคะ วันเวลาก่อนหน้านี้ที่เราเคยมีชีวิตที่ปกติ มันเหมือนเป็นความฝันยังไงก็ไม่รู้" อ้อมที่นั่งอยู่บนที่นอนฟังเพลงฝรั่งที่เปิดเบาๆ

                   "นั่นซิ ถ้ามันเป็นความฝันก็อยากให้มันตื่นเร็วๆจริงๆ" สินพูดยิ้มๆก่อนที่แบตของโน๊ตบุ๊คจะหมดหน้าจอดับลงพร้อมกับความมืดมิดในห้อง

                   "ฝันดีนะคะพี่สิน" อ้อมบอกกับสินในความมืด

                    "เช่นกัน" สินรับคำ....

                    รุ่งขึ้นทั้งสองคนก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง อาหารและน้ำทั้งคู่แบ่งกันเก็บใส่กระเป๋าคนล่ะครึ่ง เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง

                    "ตอนนี้เราอยู่แถวเยาวราชต้องไปตามถนนสายนี้เรื่อยๆจนไปถึงถนนไมตรีจิตต์ มาจนถึงถนนพระรามที่4 ข้ามสะพานคลองผดุงกรุงเกษม มาตามทางถนนเส้นนี้เรื่อยๆก็จะถึงหัวลำโพง" สินบอกเส้นทางตามแผนที่ให้อ้อมฟัง

                     "แล้วเราจะไปตามถนนได้อย่างไรคะ พวกผีดิบเดินเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด" อ้อมถามสิน

                    "เราเดินทางถนนไม่ได้ ขี่รถไปก็ไม่ได้ คงต้องเดินไปอย่างเดียว แต่เราไม่ต้องไปเดินบนถนนหรอก เราเดินบนดาดฟ้าของตึกไปเรื่อยๆได้" สินชี้ไปยังตึกข้างๆที่ต่อเรียงกันพอจะข้ามไปได้ไม่ยาก "ถ้าตึกไหนไม่ต่อกันเราก็ลงไปด้านล่างข้ามถนนไปตึกอีกฝั่ง ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไม่นานเราก็ไปถึงหัวลำโพง" สินบอกแผนกับอ้อม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา

                    "ต้องใช้เวลาหลายวันแน่ๆ" อ้อมพูดกับสินก่อนจะเดินไปที่ริมตึกบนดาดฟ้า "แถวนี้มีร้านอาหารหลายร้านมีร้านขายของอยู่มาก ระหว่างทางเราน่าจะพอหาอาหารได้บ้างก็ได้" อ้อมบอก

                     "ไปกันเถอะ" สินบอกกับอ้อมทั้งสองจึงออกเดินทางทันที

                    ทั้งสองใช้วิธีการเดินบนดาดฟ้าจากอาคารของตึกหนึ่งไปอีกตึกนึงอย่างช้าๆ เพราะตึกในย่านเยาวราชนั้นติดกันเป็นแถวยาว จึงง่ายต่อการเดินข้ามไปแทนการเดินบนถนนที่เสี่ยงกับการเจอพวกศพ และระหว่างทางเมื่อมาถึงตึกที่เป็นร้านอาหารจีนทั้งสองคนก็แวะลงไปหาเสบียงอาหารเท่าที่พอจะหาได้

                    "ของกินส่วนมากจะเน่าหมดแล้ว มีแต่พวกเส้นบะหมี่กับน้ำอัดลม แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เลย" อ้อมหยิบห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในร้านขายบะหมี่ชื่อดังของเยาวราชมาใส่เป้

                    "ดูสิพี่เจออะไร" สินเจอกล่องใส่ขนมที่เป็นจำพวกผลไม้ที่แพ็คอยู่ในถุงอย่างดี ที่หน้าถุงเขียนภาษาจีนบนห่อ

                    "รอดตายไปอีกวัน" อ้อมพูดยิ้มๆกับสิน ก่อนที่คืนนี้คนทั้งสองจะนอนค้างกันที่ร้านแห่งนี้ พอเช้าก็เดินทางต่ออย่างช้าๆเรื่อยๆ

                    โชคดีของทั้งสองคนที่ไม่มีพวกศพที่บนดาดฟ้าของตึกเหล่านี้เลย คงเพราะตอนที่เกิดความวุ่นวาย ทุกคนต่างก็หนีเอาตัวรอดออกจากตึกที่ตนอาศัยอยู่ไปบนถนนจนหมด จึงไม่มีพวกศพวนเวียนอยู่แถวดาดฟ้า

                    ทั้งสองมาจนถึงสุดทางของตึกซึ่งอีกไม่ไกลก็จะไปถึงหัวลำโพงแล้ว

                    "นั่นไงเห็นอยู่ลิบๆนั่นแล้ว" อ้อมชี้ไปที่หัวลำโพงที่อยู่ไกลๆ

                    "พรุ่งนี้เราต้องข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์ไป ตรงนั้นไม่มีตึกเป็นเพียงถนนทอดยาวจนกระทั่งไปถึงหัวลำโพง คราวนี้คือของจริงกันล่ะ" สินก้มมองลงไปบ้างล่างระหว่างพูด เขาเห็นพวกศพสองตัวเดินชนนั่นนี่ไปมาบนถนน

                    "มาถึงตรงนี้คงถอยกลับไม่ได้แล้ว" อ้อมพูดให้กำลังใจตัวเองและสิน

                   ตกกลางคืนทั้งสองคนก็นอนพักกันในห้องพักห้องนึงของตึกนั้น นี่เป็นคืนที่7แล้วที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จนถึงตอนนี้ทั้งคู่รู้สึกสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และความรู้สึกของทั้งสองก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากความรู้สึกที่เหินห่างของความเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว แต่เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มจะรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

                   "วันนี้มีมาม่าคะ สนไม๊ค่ะพี่" อ้อมถือบะหมี่ถ้วยร้อนๆมาให้สินพร้อมกับรอยยิ้ม

                    "นานๆจะได้กินของร้อนๆซักที แทบจะลืมไปแล้วนะเนี้ยว่ามาม่าร้อนๆรสชาติเป็นยังไง" สินรับถ้วยบะหมี่มาทานอย่างเอร็ดอร่อย

                   "โชคดีที่นี่ตึกนี้มีห้องครัวค้นไปค้นมาก็เจอมาม่าในตู้แก๊สก็พอใช้งานได้ หนูเลยต้มมาให้ทานคะ" อ้อมเป่าถ้วยบะหมี่ของตนระหว่างพูด "นี่ถ้าเป็นของต่างประเทศคงจะหาแก๊สต้มน้ำไม่ได้แน่ๆ โชคดีของประเทศไทยที่เราใช้แก๊สถัง"

                  "นั่นซิ บางทีความล้าหลังก็มีประโยชน์เหมือนกัน" สินพูดยิ้มๆ

                  "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!!" ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทานบะหมี่อยู่ก็มีเสียงร้องของศพที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นมา

                   "ดับเทียนซะ!!!!" สินบอกกับอ้อมก่อนจะมาแอบดูที่หน้าต่าง

                  ด้านนอกถนนตอนนี้มืดสนิทไม่มีแสงสว่างของพระจันท์เลย จะมีก็แต่เสียงร้องของพวกศพที่วิ่งกระโดดบนหลังคารถไปหลายตัว เมื่อพวกมันได้ยินเสียงปืนที่ดังไกลๆ

                  "พวกมันไวต่อเสียง ตอนกลางคืนพวกมันจะเห็นเราชัดกว่าตอนกลางวัน" สินบอกกับอ้อม

                 "แล้วจมูกล่ะคะ หนูหมายถึง การดมกลิ่นล่ะ พวกมันจะได้กลิ่นเราไหมคะ" อ้อมถามคำถามที่น่าสนใจ

                 "เป็นคำถามที่ดี" สินบอก "ดูนั่นซิ" สินชี้ให้อ้อมดูศพตัวนึงวิ่งผ่านศพคนตายที่นอนเน่าอยู่บนถนนโดยไม่สนใจ "อ้อมว่าศพนั้นจะเหม็นแค่ไหน"

                 "คงจะเหม็นสุดๆเลยมั้งคะ" อ้อมทำหน้าเบ้จมูกย่นเมื่อพูดถึงกลิ่น "พวกผีดิบเองก็คงจะกลิ่นแรงไม่แพ้กัน"

                  "ใช่ พี่คิดว่าพวกมันคงจะไม่ได้กลิ่น เพราะถ้าพวกมันจมูกดีแบบเดียวกับหู ป่านี้มันคงจะรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่" สินเดา "เพราะมันคงจะแยกแยะระหว่างศพคนตายกับคนเป็นออกไปแล้ว"

                 "ถ้าเป็นแบบนั้นหนูก็พอจะมีแผนในการเดินทางพรุ่งนี้แล้วคะ" อ้อมพูดยิ้มๆ

                รุ่งขึ้นเมื่อถึงช่วงสายที่แดดออกสว่างจ้าที่สุด ทั้งคู่ก็ลงมาที่ชั้นล่างสุดของตึกพร้อมกับลังกระดาษใบใหญ่2ใบที่เป็นลังใส่ตู้เย็น ทั้งคู่ค่อยๆเดินออกมาจากประตูหน้าตึกอย่างช้าๆ โดยที่สินเป็นคนเดินนำหน้า

                ย้อนไปก่อนหน้านั้นเมื่อทั้งคู่จะออกเดินทาง อ้อมก็ไปหยิบเอาลังใส่ตู้เย็นสองอันที่หาได้แถวนั้นพอดีมาให้สิน

                 "ถ้าพวกนั้นไม่ได้กลิ่นเราแล้วก็มองเห็นไม่ชัดตอนกลางวันอย่างที่พี่ว่า นั่นก็แปลว่าถ้าเราแอบซ่อนตัวโดยที่ไม่ทำให้เกิดเสียงหรือน่าสงสัยจนเกินไป เราก็น่าจะเดินผ่านบนถนนไปที่หัวลำโพงได้โดยที่พวกผีดิบไม่เห็น" อ้อมออกความคิด

                 แม้จะดูเสี่ยงและดูบ้าบิ่นแต่มันก็ยังดีกว่าแอบๆซ่อนๆค่อยๆไปตามถนน

                 ทั้งคู่ค่อยๆเดินอย่างช้าๆตามๆกันไปบนถนน ค่อยๆเดินลดเลี้ยวผ่านรถที่จอดทิ้งไว้บนถนนไปอย่างช้าๆเบาๆ

                "!!!!!" สินตกใจสุดขีดเมื่อตรงหน้าคือศพหญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูป กำลังยืนเหม่ออยู่ตรงข้างรถเก๋งสีฟ้า โดยที่สินไม่ทันเห็นเมื่อเดินมาจากทางหลังรถ

                ทั้งคู่นิ่งเงียบใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ศพที่ยืนเหม่อนั้นมองไม่เห็นตน

               "อืมมมมมม อืมมมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวเดินครางมาทางสินและอ้อมในกล่องกระดาษ

               ใบหน้าของนักศึกษาสาวนั้นยุบไปครึ่งหน้าที่ด้านซ้าย เสื้อผ้านักศึกษาสีขาวมอมแมมกระโปรงสีดำสั้นจุ๊ดจู๋ขาดจนเห็นกางเกงในสีชมพู

               "ตุบ...อืมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวชนกล่องของสินเบาๆโดยไม่สนใจว่ามีอะไรข้างใน ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างช้าๆท่ามกลางความโล่งอกของคนทั้งสอง

               ทั้งสองค่อยๆเดินอย่างช้าๆเรื่อยๆเหมือนนกเพนกวิน จนข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์มาถึงหัวลำโพงได้ในที่สุด

               "เฮ้อ...." สินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมายืนตรงทางเข้าหัวลำโพง ที่ตอนนี้มีซากรถตุ๊กๆรถแท็กซี่จอดทิ้งเอาไว้เต้มหน้าถนนฝั่งทางเข้าสถานีหัวลำโพง

               ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้นเงียบสนิท ด้านในที่เป็นห้องโถงของสถานีรถไฟนั้นโล่งอย่างน่าประหลาด เก้าอี้รอผู้โดยสารนั้นไร้ผู้คนมีแต่ซากศพนอนตายกับคราบเลือดเท่านั้น

               "ที่นี่คงเป็นที่แรกๆที่คนวิ่งหนีออกมาตอนเกิดเรื่องแน่ๆ" สินพอจะวาดภาพตอนที่เกิดเรื่องออก เพราะเขาเคยทำงานที่นี่จึงรู้ว่าที่แห่งนี้นั้นมีผู้คนมากมายแค่ไหน และตอนเกิดเรื่องวุ่นวายผู้คนคงจะหนีตายออกไปจากที่นี่จนหมด เพราะที่นี่เป็นสถานที่โล่งจึงไม่น่าจะปลอดภัยถ้าจะอยู่ ผู้คนจึงน่าจะวิ่งออกไปจนหมด

                "ออกมาเถอะ" เมื่อคิดว่าปลอดภัยเขาจึงออกมาจากกล่อง

                "เอาไงต่อคะพี่สิน" อ้อมถามสิน

                "ตามมา" สินพาอ้อมเดินมาตามทางเพื่อมายังตัวสถานีที่มีรถไฟจอดอยู่บนรางเป็นจำนวนมาก

                "เราจะขับเจ้านี่ไปได้จริงๆหรอคะ" อ้อมที่ยืนดูรถไฟจอดบนรางหลายคันพูดขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจ

               "เราเอาแค่หัวรถจักรเท่านั้นก็พอ แค่เติมน้ำมันจนเต็มถังเราก็วิ่งไปได้แล้วล่ะเชื่อพี่" สินบอกระหว่างเดินสำรวจรถไฟทีละคันอย่างละเอียด

               "คันนี้ล่ะ" สินเจอหัวรถจักรที่ตนเคยขับจึงขึ้นไปตรวจสอบระบบภายในห้องคนขับ โดยที่ให้อ้อมยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ข้างนอก จนเมื่อแน่ใจเขาก็ลงมาจากห้องคนขับ

               "ไปรอในรถก่อน เดี๋ยวพี่จะสอนวิธีควบคุมแบบง่ายๆให้" สินบอกกับอ้อม

               "แล้วพี่จะไปไหนคะ" อ้อมถามสินด้วยสีหน้าหวาดระแวงด้วยความกลัว

               "พี่จะไปสับรางเพื่อให้รถออกไปบนรางหลักได้ แค่ตรงนี้เองไม่ไกลหรอก เธอรออยู่นี่ล่ะเดี๋ยวพี่มา" สินบอกกับอ้อม

               "รีบมานะค่ะ พี่ชาย" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อต้องไกลจากสินเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พบกัน

               "เดี๋ยวพี่ก็มาแล้ว ยัยสี่ตาร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะ" สินพูดยิ้มๆ

               หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ความผูกพันของทั้งสองคนก็พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นความรักในแบบของพี่ชายที่ปกป้องน้องสาวจากอันตรายไปโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว

               เมื่อสอนการควบคุมรถไฟอย่างง่ายๆและตรวจเช็คน้ำมันในหัวรถจักรจนพร้อม สินก็รีบวิ่งมาสับรางรถไฟทันที เพื่อให้หัวรถจักรสามารถวิ่งบนทางสายหลักไปได้

               "มาเลย" สินโบกมือเรียกอ้อมให้ขับรถมาเมื่อตนสับรางเสร็จ

               รถไฟค่อยๆเคลื่อนมาอย่างช้าๆจนมาจอดที่ชานชาราสถานีรอรถไฟที่สินยืนอยู่

               "เก่งมากยัยสี่ตา พี่บอกแล้วไงว่ามันง่ายๆ" สินพูดกับอ้อมเมื่อเดินไปที่ห้องคนขับ

              แต่ไม่ทันที่จะเดินไปถึงรถไฟ อ้อมก็เดินออกมาจากห้องคนขับพร้อมกับชายแก่ลงพุงคนนึง ที่ล๊อกคอของอ้อมเอาไว้และเอาปืนที่สินให้อ้อมไว้จ่อที่หัวของเธอ

               "โอ้...มิน่าล่ะ ถึงว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงขับรถไฟเป็น มีแกเป็นคนสอนที่เอง" ชายแก่พูดยิ้มๆกับสินขณะที่จับอ้อมเป็นตัวประกัน

              "ปล่อยเธอนะ!!!" สินตะโกนออกไปด้วยความโมโห แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอ้อมถูกจับเป็นตัวประกันอยู่

                 "พี่จ๋าช่วยหนูด้วย!!!!" อ้อมร้องไห้เรียกสิน

                 "ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปช่วย เธอจะปลอดภัยเชื่อพี่" สินจ้องตาอ้อมและพูดกับเธอเพื่อให้สาวน้อยสบายใจ

                 "แกต้องการอะไร จะเอารถไฟก็เอาไป แล้วปล่อยน้องสาวฉันซะ!!!" สินตะโกนบอกชายแก่
                 
                "รถไฟก็ต้องการอยู่แล้ว เมื่อกี้ดูสาวน้อยคนนี้กดปุ่มก็พอจะเดาออกว่าจะต้องขับยังไง แต่ที่ต้องการคงไม่ใช่แค่รถไฟแล้วล่ะ" ชายแก่เอาจมูกมาสูดลมหายใจแรงๆที่แก้มของอ้อม "ขอตัวสาวสวยคนนี้ไปด้วยแล้วกัน อยู่กับแกคงจะไม่ช่วยอะไรหรอก"

                 "อย่านะ!!!" สินตะโกนพร้อมกับจะวิ่งเข้าไป แต่เขาก็ต้องชะงักงันเมื่อถูกปืนเล็งมา "เห็นกับว่าเราเป็นคนที่รอดชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก ฉันไม่อยากยิงคนด้วยกันให้เปลืองกระสุน" ชายแก่ค่อยๆเดินเข้าไปในรถไฟเมื่อพูดจบ

                  "พี่จ๋า พี่!!!" อ้อมตะโกนเรียกสินเมื่อรถไฟเริ่มวิ่งมาทางตนอย่างช้าๆ

                  "ไปก่อนนะจ๊ะคุณพี่ชาย....ปัง ปัง!!!" เมื่อรถไฟวิ่งผ่านสินไปชายแก่ก็ยิงปืนออกมา

                  "พี่จ๋า...!!!" อ้อมตะโกนสุดเสียงเรียกร้องหาสินเมื่อเสียงปืนดัง

                   สินหลบคุดคู้ตัวอยู่บนพื้นด้วยความตกใจ แต่ชายแก่ไม่ได้ยิงสินแต่ยิงขึ้นฟ้า

                   "ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!" พวกศพแถวนั้นที่ได้ยินเสียงปืนจึงรีบวิ่งมาทันทีหลายตัว

                   "โชคดี" ชายแก่ชะโงกหน้าออกมาบอกล่าสิน เขาจงใจยิงปืนเรียกพวกศพให้มาฆ่าสินแทนการยิงเขา

                  "!!!!!" สินที่เห็นพวกศพวิ่งมาทางตน เขาก็วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

                  "หวังว่าพี่ชายเธอคงจะวิ่งเร็วกว่าพวกมันนะ" ชายแก่หันมาพูดกับอ้อมด้วยท่าทางสะใจ

                  "แกต่างหากที่ต้องเป็นคนวิ่ง!!!!" อ้อมพูดกับชายแก่ ก่อนจะรวบรวมความกล้า วิ่งชนชายแก่อย่างแรงจนเขากระเด็นออกมาจากหัวรถจักลงไปนอนที่พื้นชานชาลา

                 สินที่เห็นชายแก่กระเด็นออกมาจากหัวรถไฟ เขาก็รีบวิ่งตามรถไฟทันทีอย่างไม่รอช้า

                 "ช่วยด้วย!!!" ชายแก่พยายามลุกขึ้นยืนระหว่างที่สินวิ่งผ่านเขาไป

                 "ตัวใครตัวมันนะเพื่อน" สินวิ่งคว้าปืนที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะรีบวิ่งตามรถไฟจนทันก่อนสุดชานชาราเพียงนิดเดียว

                  "อ๊ากกกก!!!!" เสียวชายแก่ถูกพวกศพที่วิ่งมารุมกินทั้งเป็นอย่างหมดทางสู้

                 สินที่ขึ้นมาบนรถไฟได้นั่งหอบจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่อ้อมวิ่งมากอดสินทันทีด้วยความดีใจ

                 "พี่จ๋า พี่จ๋า หนูคิดว่าจะเสียพี่ไปซะแล้ว!!!" อ้อมร้องไห้ในอ้อมกอดของสิน

                 "ขอบใจนะที่ช่วยพี่เอาไว้ ไม่มีเธอพี่คงไม่รอด" สินพูดยิ้มๆกับอ้อม

                จากชายที่เคยใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของความรักมาก่อน จนเมื่อโลกถึงจุดจบ เขากลับได้พบความรักความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มันเป็นความรักที่เรียกว่ามิตรภาพและความผูกพัน

                 "สุดท้ายแล้วผมกลับได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมาจากโลกที่ไร้ซึ่งทุกสิ่ง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่แม้โลกจะมีทุกสิ่งแต่ผมกลับรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมีน้องสาวที่ต้องคอยปกป้อง"

                  สินหันมายิ้มให้กับอ้อม ระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถไฟมุ่งตรงสู่ชนบทเพื่อหาสถานที่ใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต....

                                                                                                                   จบ