ตอนที่9. เธอ



                     ตอนที่9.เธอ

                     "นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่วันนั้น วันที่ทุกอย่างจบลงแบบพังพินาศวอดวาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยมีเคยสร้างสมกันมาเป็นร้อยๆพันๆปี กลับจบลงภายในวันเดียว เมื่อจู่ๆกองทัพคนตายที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ลุกขึ้นออกมาไล่ฆ่าจับคนมากินเป็นอาหาร คนที่ถูกกัดจะติดเชื้อและกลายเป็นผีดิบแบบเดียวกันกับพวกมัน วงจรการแพร่เชื้อจึงขยายอย่างรวดเร็วและควบคุมไม่อยู่"

                     ที่มุมตึกแห่งนึงแถวเยาราชชายหนุ่มวัย30ปีเศษผมสั้นเคราขึ้นเล็กน้อย สวมเสื้อยืดสีขาวขางเกงยีนส์ขายาวสีดำ สะพายเป้สีเขียวขี้ม้าเก่าๆ1ใบ กำลังวิ่งจากถนนฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยมีพวกศพสามตัวกำลังส่งเสียงร้องวิ่งไล่ตามเขามาอย่างไม่คิดชีวิต

                    "คนเหล่านี้ถูกเรียกว่าพวกศพเดินได้ เป็นชื่อที่ถูกเรียกโดยนักข่าวทางทีวีเมื่อหลายเดือนก่อนสมัยที่ยังมีไฟฟ้าใช้ ตอนนั้นทั่วทุกมุมโลกต่างเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นพร้อมกัน ตามข่าวที่รายงานมาทางทีวี มันสร้างความแตกตื่นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงพร้อมกับการออกอากาศในวันนั้น"

                     ชายหนุ่มทั้งวิ่งและกระโดดข้ามรถที่จอดอยู่เต็มถนนได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกศพยังวิ่งชนรถหกล้มหกลุกไม่เป็นท่า จนเขาสามารถข้ามถนนเข้ามาในซอยตรงข้ามได้สำเร็จ....

                     "วันที่เกิดเรื่องวันนั้นผมเองเพิ่งกลับมาจากทำงานที่หัวลำโพง ผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้ พ่อแม่ผมตายตั้งแต่ยังเล็กส่วนป้าที่เลี้ยงมากับลุงก็เพิ่งจะเสียหลังผมเรียนจบไม่นาน ชีวิตผมอยู่ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว"

                     เมื่อเข้ามาในซอยชายหนุ่มก็หันไปเห็นประตูที่เป็นทางเข้าห้องเช่า เขาจึงถีบประตูบานนั้นด้วยเท้าเต็มแรง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในนั้นพร้อมกับเล็งปืน เบเร็ตต้า M92F ในท่าเตรียมพร้อมก่อนจะรีบปิดประตูเพื่อแอบพวกศพที่วิ่งตามมาทีหลังได้อย่างหวุดหวิดโดยที่พวกมันไม่เห็น

                     "คงเพราะการอยู่คนเดียวจนชิน จึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงที่สนิทไม่มีแฟนไม่มีเพื่อนร่วมงานที่จะไปกินเหล้าด้วย ทำงานเสร็จกลับบ้านนั่งเช็ดปืนวันหยุดก็ไปสนามยิงปืนซ้อมมือเพื่อความสนุก ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าปืนที่ใช้ยิงเป้ากระดาษจะได้ใช้ยิงสิ่งมีชีวิตกับเขาด้วย"

                     ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งหอบด้วยความโล่งอก ในมือของเขามีแผนที่กระดาษที่บังเอิญไปเจอมาจากศพของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนนึง เพื่อสิ่งนี้เขาจึงยอมเสี่ยงวิ่งไปเพื่อให้ได้มันมา

                    "ตอนที่เกิดเรื่องพอได้รู้ข่าวจากทีวีก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นอนเครียดนั่งเครียดทนฟังเสียงร้องโหยหวนเสียงระเบิดเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนอกห้องอยู่หลายวัน จนปลากระป๋องกับไข่ที่มีในตู้เย็นหมด จึงต้องคว้าปืนกับของจำเป็นใส่เป้ออกมาข้างนอก จากนั้นก็หนีมาเรื่อยๆอาศัยที่เป็นคนวิ่งเร็วเลยรอดมาได้ทุกครั้ง จนมารู้สึกตัวอีกทีก็หลงมาอยู่ส่วนของกรุงเทพแล้วก็ไม่รู้"

                    เมื่อหายเหนื่อยชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินสำรวจภายในห้องเช่าของตึกสามชั้นแห่งนี้ทีละห้อง เขาค่อยๆเดินทีละก้าวอย่างช้าๆและระมัดระวังตัว ไฟฉายที่มีช่วยได้มากในการเดินสำรวจภายในตึกห้องเช่าที่มืดสนิท เสียงที่ชายหนุ่มได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าเดินของเขาเท่านั้น ความเงียบนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียไปพร้อมๆกัน

                    "แอ๊ดดดด!!!!" เสียงประตูที่ดังจากบานพับขึ้นสนิมชวนให้เสียวสันหลังทุกครั้งเมื่อประตูเปิด เขาต้องลุ้นว่าด้านหลังประตูห้องทีละห้องนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง

                   "เฮ้อ..." ชายหนุ่มอุทานอย่างโล่งอก เมื่อส่องไฟไปในห้องไม่พบอะไรนอกจากห้องเปล่าๆ เขาจึงเข้าไปสำรวจหาอาหารและของที่พอจะใช้ได้ทีละห้อง

                   "ก็ยังดี" ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเมื่อค้นเจอปลากระป๋องกับขนมสองสามห้อตามห้องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของห้องเหล่านี้จะทิ้งห้องของตัวเองเมื่อตอนที่เกิดเรื่อง

                   "อุ๊บ...!!! บ้าเอ็ย...!!!" เมื่อเปิดเข้าไปในห้องหนึ่งที่ชั้นสอง เข้าก็พบศพของพ่อแม่ลูกสามคนแขวนคอตายอยู่ในห้อง คาดว่าทั้งสามคนคงจะกลัวจนทำอะไรไม่ถูก จึงปลิดชีวิตของตนเองแทนที่จะออกไปข้างนอกแล้วถูกพวกศพกินทั้งเป็น

                  "ผมไม่รู้หรอกนะว่าอันไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปจากโลกนี้ หรือต้องทนเอาชีวิตรอดไปวันๆแบบนี้อันไหนจะดีกว่ากัน"

                  ชายหนุ่มเลือกที่จะพักที่ชั้นสามห้องริมสุดใกล้ประตูดาดฟ้า เข้าสำรวจที่ห้องครัวเจอถังแก๊สปิคนิคใบเล็กและน้ำก๊อกที่ยังไหลอยู่ เพราะแท็งค์เก็บน้ำบนดาดฟ้ายังมีน้ำอยู่ เขาจึงเอาน้ำมาต้มเก็บไว้ดื่มในครั้งต่อไป

                  "ท้องฟ้าใกล้มืดลงแล้วแสงอาทิตย์กำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว กลางคืนนับว่าเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ เพราะพวกศพจะออกวิ่งไล่ล่าหาอาหารเหยียบบนหลังคารถส่งเสียงดังโครมคราม บ้างก็กรีดร้องอย่างโหยหวนชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก"

                  ชายหนุ่มล๊อกประตูห้องอย่างแน่นหนา เขาแง้มหน้าต่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อเปิดรับลมในวันที่ร้อนอบอ้าว แสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงทำให้มองเห็นทุกสิ่งบนถนนตอนนี้ชัดเจน

                  "นานๆครั้งเมื่อมีโอกาสผมจะแอบมองสิ่งต่างๆด้านนอกยามค่ำคืน" ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปที่หน้าต่างแอบดูสิ่งต่างๆบนถนนจากด้านบนห้อง

                  "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก ตึง!!! ตัง!!! โครม!!! คราม!!!" เสียงของพวกศพที่มีดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนในความมืด กำลังวิ่งกระโดดอยู่บนหลังคารถบนถนนส่งเสียงดังตลอดทาง ทุกตัวสอดส่ายสายตาไปมาในความมืดเพื่อหาอาหาร ซึ่งก็คือมนุษย์เป็นๆอย่างชายหนุ่ม

                 พวกศพนั้นสามารถล่าเหยื่อ(มนุษย์)ได้ทั้งกลางวันกลางคืน แต่ในช่วงกลางคืนมันจะมีสายตาที่ดีกว่ามองเห็นได้ชัดกว่าตอนกลางวัน ที่พวกมันต้องอาศัยเสียงในการล่าเหยื่อ

                 "ข้อดีของการเป็นคนช่างสังเกตุสิ่งต่างๆรอบตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมของพวกศพว่ามันออกล่าตอนไหน จึงทำให้ผมสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้"

                ชายหนุ่มเลิกดูที่หน้าต่าง เข้าเดินมาสำรวจโต๊ะภายในห้องที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตั้งอยู่ ชายหนุ่มลองเปิดดูก็พบว่ามันยังพอมีแบตอยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตี๋สวมแว่นกำลังยืนคู่กับหญิงสาวหน้าหมวยอีกคนที่เป็นแฟน โดยมีวิวด้านหลังเป็นน้ำตก ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข

                "จะว่าไปตั้งแต่ที่ผมหนีตายมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เจอคนอื่นที่เป็นผู้รอดชีวิตเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมีคนเป็นๆเหลืออยู่ไหม หรือจะมีผมคนเดียวที่เป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย"

               ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆด้วยความหดหู่ เขาปิดคอมพิวเตอร์แล้วล้มตัวนอนคุดคู้ภายในห้องอันมืดมิด ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความตาย....

              "กรี๊ดดดดด!!!! กรี๊ดดดดด!!!" รุ่งขึ้นชายหนุ่มต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นใกล้ๆกับที่ที่ตนอยู่

              ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นมาที่ประตูเพื่อฟังเสียงที่ได้ยินอย่างระมัดระวัง เขากำปืนในมือจนแน่นนิ้วชี้ข้างขวาอยู่ที่ไกปืนในท่าเตรียมพร้อม ใจของเขาเต้นรั่วไปด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงร้องของคนที่ไม่ใช่เสียงร้องของพวกศพ

              "ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!! ปัง!!! ปัง!!! ตึง!!! ตึง!!!" หลังจากเสียงร้องของหญิงสาวก็มีเสียงร้องของศพที่ร้องตามมา พร้อมกับเสียงทุปประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆกับห้องที่เขาอยู่

              "พี่คะนี่หนูเองนะ!!! พี่จ๋า!!!" เสียงหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง สร้างความมั่นใจให้ชายหนุ่มมากขึ้นว่าเขาได้ยินไม่ผิด นั่นคือเสียงของมนุษย์คนอื่น

              ชายหนุ่มค่อยๆแง้มประตูห้องของตนเองอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มคนนึงอายุราว30ต้นๆที่เปลี่ยนสภาพเป็นศพที่กระหายเลือด กำลังทุบประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของตนอย่างบ้าคลั่ง ที่แขนขวาของเข้ามีผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดอยู่

              "กรี๊ดดดดด!!!!" เสียงของหญิงสาวร้องด้วยความหวาดกลัวภายในห้อง

              "ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก!!!" ผีดิบชายคนนั้นก็ส่งเสียงร้องและทุบประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง

              "ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่นานคงมีพวกศพตัวอื่นที่ได้ยินเสียงร้องมาสมทบที่นี่แน่ๆ" ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นเขาที่อยู่ห้องตรงข้ามก็คงต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ เพราะพวกมันจะไม่หยุดร้องหยุดทุบประตูจนกว่าจะพังเข้าไปได้

               เขามองปืนในมือที่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถฆ่ามันได้รวดเร็วที่สุด แต่มันก็มีเสียงดังซึ่งอาจจะเรียกพวกศพมาเพิ่มได้ด้วย

               ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุทชิ้นอื่นที่พอจะหาได้ จนไปเจอค้อนที่วางอยู่ในห้องพร้อมตะปูและไม้ คาดว่าเข้าของห้องคงคิดจะต่อเติมห้องจึงมีอุปกรณ์การช่างวางอยู่

              "เอาว่ะ" ชายหนุ่มกลั้นใจก่อนจะรีบเปิดประตูห้องตัวเอง แล้ววิ่งไปที่ผีดิบชายคนนั้นที่กำลังหันหลังให้ตน

               "พลั๊ก!!! พลั๊ก!!! ตุบ!!! ตุบ!!!" เสียงของค้อนเหล็กทุบลงบนกระโหลกศีรษะของผีดิบที่ด้านหลังโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว

               "แฮ่ก แฮ่ก!!!" ชายหนุ่มกระหน่ำทุบไม่ยั้งจนผีดิบแน่นิ่งล้มลงไปนอนชักกระตุกบนพื้น

               "ปลอดภัยแล้วคุณ ออกมาเถอะ!!!" ชายหนุ่มตะโกนเรียกหญิงสาวภายในห้องเมื่อเห็นว่าผีดิบตัวนั้นตายสนิทแล้ว เขาจึงลากศพมันออกไปพ้นประตูก่อนจะเรียกหญิงสาวออกมาจากห้อง

                "คุณเป็นคนใช่ไหม???" เสียงหญิงสาวตะโกนออกมา

                "คิดว่าน่าจะใช่ เพราะพวกศพ....เอ่อ...ผมหมายถึงพวกผีดิบมันพูดไม่ได้ แต่ผมพูดได้" ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดระหว่างพูด

                 "คุณไม่ทำร้ายฉันใช่ไหม" หญิงสะตะโกนออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                "ถ้าคุณถูกกัดนั่นก็อีกเรื่อง ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องกลัวผมไม่ทำร้ายคุณหรอก คิดว่างั้น" ชายหนุ่มนั่งลงที่หน้าห้องอย่างหมดแรง เมื่อทุ่มสุดตัวในการฆ่าศพตนนั้น

                 หญิงสาวภายในห้องช่างใจอยู่นานสองนานก่อนจะเปิดประตูออกมาด้านนอกห้อง

                 "ขอบคุณคะ" หญิงสาวสวมแว่นอายุราวๆ20ต้นๆไว้ผมยาวถักเปียสวมเสื้อยืดเก่าๆสีชมพูกางเกงยีนส์ขายาวร้องเท้าผ้าใบขาดๆ พูดกับชายหนุ่มด้วยท่าทางหวาดระแวง

                 "เข้ามาในนี้เถอะ ตรงนั้นมันอันตราย" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและชวนหญิงสาวเข้ามาในห้องของตน

               หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มเข้ามาโดยไม่พูดอะไร เธอหันไปมองรอยเลือดที่เป็นรอยถูกลากอยู่บนพื้นก่อนจะเดินเช้ามาในห้อง

                "คุณฆ่าเขาใช่ไหม" หญิงสาวถามชายหนุ่มที่กำลังรินน้ำใส่แก้วส่งให้เธอ

                "ใช่ ผมใช้ค้อนทุบเขาที่หัว เขาเป็นพี่ชายคุณใช่ไหม" ชายหนุ่มถาม

                 "!!!!????" หญิงสาวรับแก้วมาด้วยท่าทางตกใจ

                 "ก็เห็นคุณร้องตะโกนว่าพี่คะอย่าทำหนู ผมเลยเดาว่าคนๆนั้นคือพี่ชายคุณ" ชายหนุ่มเทน้ำอีกแก้วมาดื่มเอง

                "ค่ะ เขาคือพี่ชายของฉันเอง เขาถูกกัดเมื่อตอนรุ่งสางตอนที่เรากำลังเก็บของจะเดินทางต่อ ระหว่างทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้วก็มาทำร้ายฉันจนฉันวิ่งหนีมาที่นี่" หญิงสาวดื่มน้ำจนหมดแก้วเมื่อพูดจบ

                 "เสียใจด้วยนะครับ ผมชื่อสินยินดีที่รู้จัก" ชายหนุ่มแนะนำตัว

                 "อ้อมคะ" หญิงสาวตอบ

                 "คุณจะไปที่ไหนหรออ้อม" ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเพื่อหาของกิน เขาเทปลากระป๋องที่เจอใส่จานที่หยิบมาจากห้องครัวพร้อมช้อนส่งให้หญิงสาว

                  "ไม่รู้คะ แค่หนีไปเรื่อยๆ เอาชีวิตรอดไปวันๆ ขอบคุณค่ะ" อ้อมยกมือไหว้ก่อนรับจานที่ใส่ปลากระป๋องมา

                  "แล้วคุณสินล่ะคะจะไปไหนต่อ" อ้อมถามคืนระหว่างตักปลากระป๋องขึ้นมาทาน

                  "ไปจากกรุงเทพ ไปที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากผู้คน ที่ไม่มีพวกศพออกไล่กินเรา คงเป็นหมู่บ้านตามป่าเล็กๆตามสวนจะได้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้" สินตอบระหว่างหยิบมันฝรั่งทอดกรอบที่เหลืออยู่ก้นถุง มัดด้วยหนังยางอย่างดีออกมากินเป็นอาหารเช้า

                  "เป็นความคิดที่ดีมากๆเลยคะ" อ้อมพูดด้วยแววตาแปลกใจมองมาทางสิน "แต่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันคะ ถนนทุกสายในกรุงเทพมีรถติดเต็มไปหมด ไหนจะพวกผีดิบที่อยู่ข้างนอกอีกแทบไม่มีทางที่เราจะขับรถออกไปได้เลย"

                  "ไปทางรถคงยากครับ แต่ถ้าทางรถไฟคงไม่ยากอะไร" สินเอาแผนที่ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวเมื่อวันก่อนให้อ้อมดู

                   "ผมบังเอิญไปเจอแผนที่มาจากศพนักท่องเที่ยวฝรั่ง" เขากางแผนที่ลงบนโต๊ะ "ถ้าเราไปทางรถไฟลงใต้เราจะผ่านชนบทลงบนสถานนีที่ไม่ค่อยมีคนที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆแถวๆชานเมือง ที่นั่นเราอาจจะปลอดภัย เพราะคงไม่มีพวกผีดิบมากแบบในเมือง"

                   "ทางรถไฟหรอคะ" อ้อมอุทานออกมาเบาๆ

                  "ครับ พอดีผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้พอดี ถ้าไปถึงที่นั่นผมอาจจะหาทางขับมันออกไปต่างจังหวัดได้" สินมองหน้าอ้อมเมื่อพูดจบ

                  "หรอค่ะ" อ้อมหันมามองหน้าสินเมื่อรู้ว่าเธอกำลังถูกมอง ทั้งสองจึงกระเด้งตัวออกมาจากกันโดยอัตโนมัติด้วยความเขินอาย

                  "คุณจะไปด้วยไหมครับ" สินถามเบาๆด้วยความเขินอาย

                 "ถ้าคุณไม่ว่าอะไรฉันก็ขอไปด้วยคนค่ะ" อ้อมตอบด้วยท่าทางอายไม่แพ้กัน

                  "ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เราค่อยเดินทางกัน" สินรีบเก็บแผนที่ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก เมื่ออยู่กับสาวสวยสองต่อสองในห้อง

                "เอ่อ...ห้องน้ำใช้ได้นะครับ น้ำยังพอมีแก๊สก็พอจะใช้ได้คุณต้มน้ำอาบได้เลยครับ เอ่อ เดี๋ยวผมขอไปสำรวจห้องอื่นๆที่เหลือต่อแล้วกัน เพื่อจะเจอของกินหลงเหลืออยู่บ้าง" สินพูดจบก็คว้าค้อนในมือแล้วรีบออกไปจากห้องทันที

                 ชายหนุ่มหัวใจเต้มแรงเมื่อออกมาจากห้อง ใจเขาเต้นไม่เป็นปกติตั้งแต่เจอหน้าอ้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ปกติเขาแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับสาวๆเลย เพราะมัวแต่ทำงานและหมกมุ่นอยู่กับปืนอยู่กับตัวเองคนเดียวด้วยความเคยชินมาตั้งแต่เด็ก พอมาเจอสาวสวยน่ารักที่ตรงใจในโลกที่สาปสูญ ก็ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                 "ทำงานๆ" เขารวบรวมสติให้กลับมา ก่อนจะเดินสำรวจห้องต่างๆที่เหลืออยู่สองสามห้องเพื่อหาอาหาร

                 จนเมื่อสำรวจครบทุกห้องเขาก็ได้ยาพารากับยาล้างแผลและอาหารแห้งจำพวกขนมขบเคี้ยวมาพอสมควร แม้จะไม่อิ่มท้องและอาจจะทำให้สูญเสียน้ำไปกับผงชูรส แต่ในโลกที่ของกินหายากพอๆกับการมีชีวิตอยู่ การเจอสิ่งเหล่านี้ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย

                เมื่อเข้ามาในห้องสินก็ไม่พบอ้อมอยู่ในห้องแต่อย่างใด ข้าวของๆเธอก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงอาหารและสิ่งของๆเขาเท่านั้นที่วางอยู่ในห้อง....

                "ไปแล้วหรอ" สินพูดเบาๆกับตัวเองอย่างหมดหวัง เมื่อหญิงสาวหายตัวไปตอนที่เขาไม่อยู่

               "กลับมาแล้วหรอคะ" เสียงหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดใหม่ที่เธอเปลี่ยนหลังอาบน้ำ

               "กะกลับมะมาแล้วครับ ดะได้อาหารกับยามาด้วย" สินลุกขึ้นยืนตอบเบาๆด้วยท่าทางเขินอาย ความจริงเธอแค่เอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้ามาด้วยเปลี่ยนชุดเท่านั้น

               "คุณสินนี่เก่งจังเลยนะคะที่อยู่คนเดียวมาได้จนถึงตอนนี้" อ้อมพูดยิ้มๆ "ต่างกับอ้อมที่ถ้าไม่มีพี่อุ้มอ้อมคงตายไปนานแล้ว เขาช่วยชีวิตอ้อมมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น" อ้อมนั่งบนเก้าอี้พูดกับสิน

               "วันนั้นอ้อมต้องไปสอบที่มหาลัย พี่อุ้มเป็นคนขับรถพาไปส่ง ระหว่างทางบนถนนก็เกิดอุบัติเหตุวุ่นวายเต็มไปหมด รถของเราถูกรถเมล์ชนที่ท้ายจนเสียหลักพุ่งไปชนร้านขายของเข้า จากนั้นพี่อุ้มก็พาอ้อมหนีออกมาจากตรงนั้นมาซ่อนในร้านขายของอยู่หลายวันโดยไม่ไปไหน" อ้อมนั่งก้มหน้าเล่าเสียงสลด

                "มีการยื้อแย่งอาหารตอนที่เกิดเรื่องในร้านที่เราอยู่ พี่อุ้มเป็นไปเอาอาหารมาตุนเอาไว้เพื่อความอยู่รอดของเราสองคนพี่น้อง จนอาหารหมดเราสองคนก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆจนพี่เขาถูกกัดเมื่อเช้าวันนี้" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อพูดถึงตรงนี้

            "พี่ชายของคุณคือคนเก่งครับ ผมเองไม่เก่งเท่าครึ่งของพี่ชายคุณเลย" สินพูดปลอบใจ "เอาอย่างนี้ไหมครับ เรามาทำพิธีศพเขากัน อย่างน้อยเราก็จะได้ร่ำลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย" สินออกความเห็น

            อ้อมที่ก้มหน้าร้องไห้พยักหน้ารับคำที่สินพูด

            "งั้นรอตรงนี้นะครับ" สินรีบออกไปจากห้องเพื่อไปเอาผ้าปูเตียงมาจากห้องพักห้องอื่น ก่อนจะเอามาห่อศพของอุ้มพี่ชายของอ้อมที่เขาทิ้งเอาไว้ที่บนดาดฟ้า

             เมื่อห่อศพเสร็จเรียบร้อยเขาก็เรียกอ้อมให้ออกมาที่ดาดฟ้า พร้อมกับส่งดอกไม้แห้งที่ไปเจอมาบนหิ้งพระให้กับอ้อม เพื่อเป็นการไวอาลัยครั้งสุดกับพี่ชายของเธอ

             "ขอบคุณนะค่ะพี่อุ้มที่ดูแลอ้อมมาตลอด หนูสัญญาคะว่าหนูจะมีชีวิตรอดต่อไปตามที่พี่สั่ง หนูให้สัญญา" อ้อมวางดอกไม้ลงบนศพก่อนจะร้องไห้วิ่งมากอดสิน

              "เข้าไปข้างในเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการต่อเอง" สินบอกกับอ้อมในอ้อมกอด

              "ขอบคุณคะที่ช่วยทำศพพี่อุ้มให้" อ้อมเช็ดน้ำตาพูดกับสิน

              "ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ เพราะผมเป็นคนที่ฆ่าพี่ชายคุณ ผมไม่มีทางเลือก" สินบอก

              "คุณไม่ผิดหรอกค่ะ ความจริงตอนนั้นพี่อุ้มก็บอกอ้อมเป็นครั้งสุดท้ายให้อ้อมฆ่าเขา แต่อ้อมทำไม่ลงจนเขาเปลี่ยนอ้อมจึงต้องหนีมา" อ้อมบอกกับสิน

                "ค่อยสบายใจหน่อย คุณไปเถอะเดี๋ยวผมจะเอาศพพี่ชายคุณไปนอนในห้องว่างๆบนที่นอนเอง" สินบอกกับอ้อมก่อนจะลากศพของอุ้มไปไว้ในห้องว่างๆห้องนึง และจัดเขาให้นอนบนที่นอนในห้องว่างห้องนั้นก่อนจะออกมา

                  "ขอบคุณอีกครั้งคะพี่สิน" อ้อมยกมือไหว้สินอีกครั้งเมื่อเขาเดินกลับมาที่ห้อง

                  "ไม่เป็นไร" สินพูดเขินๆ "พักผ่อนเถอะพรุ่งนี้เราจะได้เดินทางแต่เช้าไปที่หัวลำโพงกัน" สินพูดกับอ้อมก่อนที่จะแยกไปเตรียมอาหารเย็น

                  ทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยขนมและปลากระป๋องที่พอมีอยู่ภายในห้องที่ค่อยๆเริ่มมืดลงช้าๆ

                   "คืนนี้คุณนอนบนเตียงไป เดี๋ยวผมจะนอนข้างล่างเอง" สินบอกกับอ้อมเมื่อทานอาหารเสร็จ เขาจุดเทียนเล่มนึงเมื่อความมืดเริ่มมาเยือนภายในห้อง "และห้ามชะโงกออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ห้ามจุดไฟทุกชนิดด้วยนะ พวกมันอาจจะเห็นได้" สินบอกกับอ้อม

                   "คะ" อ้อมรับคำก่อนจะเห็นโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ "มันยังใช้ได้อยู่ไหมคะ" อ้อมถามสิน

                   "ยังพอมีแบตอยู่ เปิดฟังเพลงก็ได้นะในคอมน่าจะมีเพลงอยู่" สินเปิดเพลงที่เซพอยู่ในคอมเบาๆให้อ้อมฟัง

                   "คิดถึงจังเลยนะคะ วันเวลาก่อนหน้านี้ที่เราเคยมีชีวิตที่ปกติ มันเหมือนเป็นความฝันยังไงก็ไม่รู้" อ้อมที่นั่งอยู่บนที่นอนฟังเพลงฝรั่งที่เปิดเบาๆ

                   "นั่นซิ ถ้ามันเป็นความฝันก็อยากให้มันตื่นเร็วๆจริงๆ" สินพูดยิ้มๆก่อนที่แบตของโน๊ตบุ๊คจะหมดหน้าจอดับลงพร้อมกับความมืดมิดในห้อง

                   "ฝันดีนะคะพี่สิน" อ้อมบอกกับสินในความมืด

                    "เช่นกัน" สินรับคำ....

                    รุ่งขึ้นทั้งสองคนก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง อาหารและน้ำทั้งคู่แบ่งกันเก็บใส่กระเป๋าคนล่ะครึ่ง เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง

                    "ตอนนี้เราอยู่แถวเยาวราชต้องไปตามถนนสายนี้เรื่อยๆจนไปถึงถนนไมตรีจิตต์ มาจนถึงถนนพระรามที่4 ข้ามสะพานคลองผดุงกรุงเกษม มาตามทางถนนเส้นนี้เรื่อยๆก็จะถึงหัวลำโพง" สินบอกเส้นทางตามแผนที่ให้อ้อมฟัง

                     "แล้วเราจะไปตามถนนได้อย่างไรคะ พวกผีดิบเดินเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด" อ้อมถามสิน

                    "เราเดินทางถนนไม่ได้ ขี่รถไปก็ไม่ได้ คงต้องเดินไปอย่างเดียว แต่เราไม่ต้องไปเดินบนถนนหรอก เราเดินบนดาดฟ้าของตึกไปเรื่อยๆได้" สินชี้ไปยังตึกข้างๆที่ต่อเรียงกันพอจะข้ามไปได้ไม่ยาก "ถ้าตึกไหนไม่ต่อกันเราก็ลงไปด้านล่างข้ามถนนไปตึกอีกฝั่ง ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไม่นานเราก็ไปถึงหัวลำโพง" สินบอกแผนกับอ้อม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา

                    "ต้องใช้เวลาหลายวันแน่ๆ" อ้อมพูดกับสินก่อนจะเดินไปที่ริมตึกบนดาดฟ้า "แถวนี้มีร้านอาหารหลายร้านมีร้านขายของอยู่มาก ระหว่างทางเราน่าจะพอหาอาหารได้บ้างก็ได้" อ้อมบอก

                     "ไปกันเถอะ" สินบอกกับอ้อมทั้งสองจึงออกเดินทางทันที

                    ทั้งสองใช้วิธีการเดินบนดาดฟ้าจากอาคารของตึกหนึ่งไปอีกตึกนึงอย่างช้าๆ เพราะตึกในย่านเยาวราชนั้นติดกันเป็นแถวยาว จึงง่ายต่อการเดินข้ามไปแทนการเดินบนถนนที่เสี่ยงกับการเจอพวกศพ และระหว่างทางเมื่อมาถึงตึกที่เป็นร้านอาหารจีนทั้งสองคนก็แวะลงไปหาเสบียงอาหารเท่าที่พอจะหาได้

                    "ของกินส่วนมากจะเน่าหมดแล้ว มีแต่พวกเส้นบะหมี่กับน้ำอัดลม แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เลย" อ้อมหยิบห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในร้านขายบะหมี่ชื่อดังของเยาวราชมาใส่เป้

                    "ดูสิพี่เจออะไร" สินเจอกล่องใส่ขนมที่เป็นจำพวกผลไม้ที่แพ็คอยู่ในถุงอย่างดี ที่หน้าถุงเขียนภาษาจีนบนห่อ

                    "รอดตายไปอีกวัน" อ้อมพูดยิ้มๆกับสิน ก่อนที่คืนนี้คนทั้งสองจะนอนค้างกันที่ร้านแห่งนี้ พอเช้าก็เดินทางต่ออย่างช้าๆเรื่อยๆ

                    โชคดีของทั้งสองคนที่ไม่มีพวกศพที่บนดาดฟ้าของตึกเหล่านี้เลย คงเพราะตอนที่เกิดความวุ่นวาย ทุกคนต่างก็หนีเอาตัวรอดออกจากตึกที่ตนอาศัยอยู่ไปบนถนนจนหมด จึงไม่มีพวกศพวนเวียนอยู่แถวดาดฟ้า

                    ทั้งสองมาจนถึงสุดทางของตึกซึ่งอีกไม่ไกลก็จะไปถึงหัวลำโพงแล้ว

                    "นั่นไงเห็นอยู่ลิบๆนั่นแล้ว" อ้อมชี้ไปที่หัวลำโพงที่อยู่ไกลๆ

                    "พรุ่งนี้เราต้องข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์ไป ตรงนั้นไม่มีตึกเป็นเพียงถนนทอดยาวจนกระทั่งไปถึงหัวลำโพง คราวนี้คือของจริงกันล่ะ" สินก้มมองลงไปบ้างล่างระหว่างพูด เขาเห็นพวกศพสองตัวเดินชนนั่นนี่ไปมาบนถนน

                    "มาถึงตรงนี้คงถอยกลับไม่ได้แล้ว" อ้อมพูดให้กำลังใจตัวเองและสิน

                   ตกกลางคืนทั้งสองคนก็นอนพักกันในห้องพักห้องนึงของตึกนั้น นี่เป็นคืนที่7แล้วที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จนถึงตอนนี้ทั้งคู่รู้สึกสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และความรู้สึกของทั้งสองก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากความรู้สึกที่เหินห่างของความเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว แต่เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มจะรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

                   "วันนี้มีมาม่าคะ สนไม๊ค่ะพี่" อ้อมถือบะหมี่ถ้วยร้อนๆมาให้สินพร้อมกับรอยยิ้ม

                    "นานๆจะได้กินของร้อนๆซักที แทบจะลืมไปแล้วนะเนี้ยว่ามาม่าร้อนๆรสชาติเป็นยังไง" สินรับถ้วยบะหมี่มาทานอย่างเอร็ดอร่อย

                   "โชคดีที่นี่ตึกนี้มีห้องครัวค้นไปค้นมาก็เจอมาม่าในตู้แก๊สก็พอใช้งานได้ หนูเลยต้มมาให้ทานคะ" อ้อมเป่าถ้วยบะหมี่ของตนระหว่างพูด "นี่ถ้าเป็นของต่างประเทศคงจะหาแก๊สต้มน้ำไม่ได้แน่ๆ โชคดีของประเทศไทยที่เราใช้แก๊สถัง"

                  "นั่นซิ บางทีความล้าหลังก็มีประโยชน์เหมือนกัน" สินพูดยิ้มๆ

                  "ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!!" ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทานบะหมี่อยู่ก็มีเสียงร้องของศพที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นมา

                   "ดับเทียนซะ!!!!" สินบอกกับอ้อมก่อนจะมาแอบดูที่หน้าต่าง

                  ด้านนอกถนนตอนนี้มืดสนิทไม่มีแสงสว่างของพระจันท์เลย จะมีก็แต่เสียงร้องของพวกศพที่วิ่งกระโดดบนหลังคารถไปหลายตัว เมื่อพวกมันได้ยินเสียงปืนที่ดังไกลๆ

                  "พวกมันไวต่อเสียง ตอนกลางคืนพวกมันจะเห็นเราชัดกว่าตอนกลางวัน" สินบอกกับอ้อม

                 "แล้วจมูกล่ะคะ หนูหมายถึง การดมกลิ่นล่ะ พวกมันจะได้กลิ่นเราไหมคะ" อ้อมถามคำถามที่น่าสนใจ

                 "เป็นคำถามที่ดี" สินบอก "ดูนั่นซิ" สินชี้ให้อ้อมดูศพตัวนึงวิ่งผ่านศพคนตายที่นอนเน่าอยู่บนถนนโดยไม่สนใจ "อ้อมว่าศพนั้นจะเหม็นแค่ไหน"

                 "คงจะเหม็นสุดๆเลยมั้งคะ" อ้อมทำหน้าเบ้จมูกย่นเมื่อพูดถึงกลิ่น "พวกผีดิบเองก็คงจะกลิ่นแรงไม่แพ้กัน"

                  "ใช่ พี่คิดว่าพวกมันคงจะไม่ได้กลิ่น เพราะถ้าพวกมันจมูกดีแบบเดียวกับหู ป่านี้มันคงจะรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่" สินเดา "เพราะมันคงจะแยกแยะระหว่างศพคนตายกับคนเป็นออกไปแล้ว"

                 "ถ้าเป็นแบบนั้นหนูก็พอจะมีแผนในการเดินทางพรุ่งนี้แล้วคะ" อ้อมพูดยิ้มๆ

                รุ่งขึ้นเมื่อถึงช่วงสายที่แดดออกสว่างจ้าที่สุด ทั้งคู่ก็ลงมาที่ชั้นล่างสุดของตึกพร้อมกับลังกระดาษใบใหญ่2ใบที่เป็นลังใส่ตู้เย็น ทั้งคู่ค่อยๆเดินออกมาจากประตูหน้าตึกอย่างช้าๆ โดยที่สินเป็นคนเดินนำหน้า

                ย้อนไปก่อนหน้านั้นเมื่อทั้งคู่จะออกเดินทาง อ้อมก็ไปหยิบเอาลังใส่ตู้เย็นสองอันที่หาได้แถวนั้นพอดีมาให้สิน

                 "ถ้าพวกนั้นไม่ได้กลิ่นเราแล้วก็มองเห็นไม่ชัดตอนกลางวันอย่างที่พี่ว่า นั่นก็แปลว่าถ้าเราแอบซ่อนตัวโดยที่ไม่ทำให้เกิดเสียงหรือน่าสงสัยจนเกินไป เราก็น่าจะเดินผ่านบนถนนไปที่หัวลำโพงได้โดยที่พวกผีดิบไม่เห็น" อ้อมออกความคิด

                 แม้จะดูเสี่ยงและดูบ้าบิ่นแต่มันก็ยังดีกว่าแอบๆซ่อนๆค่อยๆไปตามถนน

                 ทั้งคู่ค่อยๆเดินอย่างช้าๆตามๆกันไปบนถนน ค่อยๆเดินลดเลี้ยวผ่านรถที่จอดทิ้งไว้บนถนนไปอย่างช้าๆเบาๆ

                "!!!!!" สินตกใจสุดขีดเมื่อตรงหน้าคือศพหญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูป กำลังยืนเหม่ออยู่ตรงข้างรถเก๋งสีฟ้า โดยที่สินไม่ทันเห็นเมื่อเดินมาจากทางหลังรถ

                ทั้งคู่นิ่งเงียบใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ศพที่ยืนเหม่อนั้นมองไม่เห็นตน

               "อืมมมมมม อืมมมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวเดินครางมาทางสินและอ้อมในกล่องกระดาษ

               ใบหน้าของนักศึกษาสาวนั้นยุบไปครึ่งหน้าที่ด้านซ้าย เสื้อผ้านักศึกษาสีขาวมอมแมมกระโปรงสีดำสั้นจุ๊ดจู๋ขาดจนเห็นกางเกงในสีชมพู

               "ตุบ...อืมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวชนกล่องของสินเบาๆโดยไม่สนใจว่ามีอะไรข้างใน ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างช้าๆท่ามกลางความโล่งอกของคนทั้งสอง

               ทั้งสองค่อยๆเดินอย่างช้าๆเรื่อยๆเหมือนนกเพนกวิน จนข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์มาถึงหัวลำโพงได้ในที่สุด

               "เฮ้อ...." สินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมายืนตรงทางเข้าหัวลำโพง ที่ตอนนี้มีซากรถตุ๊กๆรถแท็กซี่จอดทิ้งเอาไว้เต้มหน้าถนนฝั่งทางเข้าสถานีหัวลำโพง

               ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้นเงียบสนิท ด้านในที่เป็นห้องโถงของสถานีรถไฟนั้นโล่งอย่างน่าประหลาด เก้าอี้รอผู้โดยสารนั้นไร้ผู้คนมีแต่ซากศพนอนตายกับคราบเลือดเท่านั้น

               "ที่นี่คงเป็นที่แรกๆที่คนวิ่งหนีออกมาตอนเกิดเรื่องแน่ๆ" สินพอจะวาดภาพตอนที่เกิดเรื่องออก เพราะเขาเคยทำงานที่นี่จึงรู้ว่าที่แห่งนี้นั้นมีผู้คนมากมายแค่ไหน และตอนเกิดเรื่องวุ่นวายผู้คนคงจะหนีตายออกไปจากที่นี่จนหมด เพราะที่นี่เป็นสถานที่โล่งจึงไม่น่าจะปลอดภัยถ้าจะอยู่ ผู้คนจึงน่าจะวิ่งออกไปจนหมด

                "ออกมาเถอะ" เมื่อคิดว่าปลอดภัยเขาจึงออกมาจากกล่อง

                "เอาไงต่อคะพี่สิน" อ้อมถามสิน

                "ตามมา" สินพาอ้อมเดินมาตามทางเพื่อมายังตัวสถานีที่มีรถไฟจอดอยู่บนรางเป็นจำนวนมาก

                "เราจะขับเจ้านี่ไปได้จริงๆหรอคะ" อ้อมที่ยืนดูรถไฟจอดบนรางหลายคันพูดขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจ

               "เราเอาแค่หัวรถจักรเท่านั้นก็พอ แค่เติมน้ำมันจนเต็มถังเราก็วิ่งไปได้แล้วล่ะเชื่อพี่" สินบอกระหว่างเดินสำรวจรถไฟทีละคันอย่างละเอียด

               "คันนี้ล่ะ" สินเจอหัวรถจักรที่ตนเคยขับจึงขึ้นไปตรวจสอบระบบภายในห้องคนขับ โดยที่ให้อ้อมยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ข้างนอก จนเมื่อแน่ใจเขาก็ลงมาจากห้องคนขับ

               "ไปรอในรถก่อน เดี๋ยวพี่จะสอนวิธีควบคุมแบบง่ายๆให้" สินบอกกับอ้อม

               "แล้วพี่จะไปไหนคะ" อ้อมถามสินด้วยสีหน้าหวาดระแวงด้วยความกลัว

               "พี่จะไปสับรางเพื่อให้รถออกไปบนรางหลักได้ แค่ตรงนี้เองไม่ไกลหรอก เธอรออยู่นี่ล่ะเดี๋ยวพี่มา" สินบอกกับอ้อม

               "รีบมานะค่ะ พี่ชาย" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อต้องไกลจากสินเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พบกัน

               "เดี๋ยวพี่ก็มาแล้ว ยัยสี่ตาร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะ" สินพูดยิ้มๆ

               หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ความผูกพันของทั้งสองคนก็พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นความรักในแบบของพี่ชายที่ปกป้องน้องสาวจากอันตรายไปโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว

               เมื่อสอนการควบคุมรถไฟอย่างง่ายๆและตรวจเช็คน้ำมันในหัวรถจักรจนพร้อม สินก็รีบวิ่งมาสับรางรถไฟทันที เพื่อให้หัวรถจักรสามารถวิ่งบนทางสายหลักไปได้

               "มาเลย" สินโบกมือเรียกอ้อมให้ขับรถมาเมื่อตนสับรางเสร็จ

               รถไฟค่อยๆเคลื่อนมาอย่างช้าๆจนมาจอดที่ชานชาราสถานีรอรถไฟที่สินยืนอยู่

               "เก่งมากยัยสี่ตา พี่บอกแล้วไงว่ามันง่ายๆ" สินพูดกับอ้อมเมื่อเดินไปที่ห้องคนขับ

              แต่ไม่ทันที่จะเดินไปถึงรถไฟ อ้อมก็เดินออกมาจากห้องคนขับพร้อมกับชายแก่ลงพุงคนนึง ที่ล๊อกคอของอ้อมเอาไว้และเอาปืนที่สินให้อ้อมไว้จ่อที่หัวของเธอ

               "โอ้...มิน่าล่ะ ถึงว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงขับรถไฟเป็น มีแกเป็นคนสอนที่เอง" ชายแก่พูดยิ้มๆกับสินขณะที่จับอ้อมเป็นตัวประกัน

              "ปล่อยเธอนะ!!!" สินตะโกนออกไปด้วยความโมโห แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอ้อมถูกจับเป็นตัวประกันอยู่

                 "พี่จ๋าช่วยหนูด้วย!!!!" อ้อมร้องไห้เรียกสิน

                 "ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปช่วย เธอจะปลอดภัยเชื่อพี่" สินจ้องตาอ้อมและพูดกับเธอเพื่อให้สาวน้อยสบายใจ

                 "แกต้องการอะไร จะเอารถไฟก็เอาไป แล้วปล่อยน้องสาวฉันซะ!!!" สินตะโกนบอกชายแก่
                 
                "รถไฟก็ต้องการอยู่แล้ว เมื่อกี้ดูสาวน้อยคนนี้กดปุ่มก็พอจะเดาออกว่าจะต้องขับยังไง แต่ที่ต้องการคงไม่ใช่แค่รถไฟแล้วล่ะ" ชายแก่เอาจมูกมาสูดลมหายใจแรงๆที่แก้มของอ้อม "ขอตัวสาวสวยคนนี้ไปด้วยแล้วกัน อยู่กับแกคงจะไม่ช่วยอะไรหรอก"

                 "อย่านะ!!!" สินตะโกนพร้อมกับจะวิ่งเข้าไป แต่เขาก็ต้องชะงักงันเมื่อถูกปืนเล็งมา "เห็นกับว่าเราเป็นคนที่รอดชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก ฉันไม่อยากยิงคนด้วยกันให้เปลืองกระสุน" ชายแก่ค่อยๆเดินเข้าไปในรถไฟเมื่อพูดจบ

                  "พี่จ๋า พี่!!!" อ้อมตะโกนเรียกสินเมื่อรถไฟเริ่มวิ่งมาทางตนอย่างช้าๆ

                  "ไปก่อนนะจ๊ะคุณพี่ชาย....ปัง ปัง!!!" เมื่อรถไฟวิ่งผ่านสินไปชายแก่ก็ยิงปืนออกมา

                  "พี่จ๋า...!!!" อ้อมตะโกนสุดเสียงเรียกร้องหาสินเมื่อเสียงปืนดัง

                   สินหลบคุดคู้ตัวอยู่บนพื้นด้วยความตกใจ แต่ชายแก่ไม่ได้ยิงสินแต่ยิงขึ้นฟ้า

                   "ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!" พวกศพแถวนั้นที่ได้ยินเสียงปืนจึงรีบวิ่งมาทันทีหลายตัว

                   "โชคดี" ชายแก่ชะโงกหน้าออกมาบอกล่าสิน เขาจงใจยิงปืนเรียกพวกศพให้มาฆ่าสินแทนการยิงเขา

                  "!!!!!" สินที่เห็นพวกศพวิ่งมาทางตน เขาก็วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

                  "หวังว่าพี่ชายเธอคงจะวิ่งเร็วกว่าพวกมันนะ" ชายแก่หันมาพูดกับอ้อมด้วยท่าทางสะใจ

                  "แกต่างหากที่ต้องเป็นคนวิ่ง!!!!" อ้อมพูดกับชายแก่ ก่อนจะรวบรวมความกล้า วิ่งชนชายแก่อย่างแรงจนเขากระเด็นออกมาจากหัวรถจักลงไปนอนที่พื้นชานชาลา

                 สินที่เห็นชายแก่กระเด็นออกมาจากหัวรถไฟ เขาก็รีบวิ่งตามรถไฟทันทีอย่างไม่รอช้า

                 "ช่วยด้วย!!!" ชายแก่พยายามลุกขึ้นยืนระหว่างที่สินวิ่งผ่านเขาไป

                 "ตัวใครตัวมันนะเพื่อน" สินวิ่งคว้าปืนที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะรีบวิ่งตามรถไฟจนทันก่อนสุดชานชาราเพียงนิดเดียว

                  "อ๊ากกกก!!!!" เสียวชายแก่ถูกพวกศพที่วิ่งมารุมกินทั้งเป็นอย่างหมดทางสู้

                 สินที่ขึ้นมาบนรถไฟได้นั่งหอบจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่อ้อมวิ่งมากอดสินทันทีด้วยความดีใจ

                 "พี่จ๋า พี่จ๋า หนูคิดว่าจะเสียพี่ไปซะแล้ว!!!" อ้อมร้องไห้ในอ้อมกอดของสิน

                 "ขอบใจนะที่ช่วยพี่เอาไว้ ไม่มีเธอพี่คงไม่รอด" สินพูดยิ้มๆกับอ้อม

                จากชายที่เคยใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของความรักมาก่อน จนเมื่อโลกถึงจุดจบ เขากลับได้พบความรักความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มันเป็นความรักที่เรียกว่ามิตรภาพและความผูกพัน

                 "สุดท้ายแล้วผมกลับได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมาจากโลกที่ไร้ซึ่งทุกสิ่ง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่แม้โลกจะมีทุกสิ่งแต่ผมกลับรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมีน้องสาวที่ต้องคอยปกป้อง"

                  สินหันมายิ้มให้กับอ้อม ระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถไฟมุ่งตรงสู่ชนบทเพื่อหาสถานที่ใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต....

                                                                                                                   จบ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น