ตอนที่1. ฉันอยู่ในห้องที่ปิดตาย


             
 ตอนที่1.ฉันอยู่ในห้องที่ปิดตาย
       
ภายในอันมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง ประตูหน้าต่างถูกปิดตายด้วยตู้และโต๊ะเขียนหนังสือ บนที่นอนมีร่างของเด็กหญิงวัย13ปี นั่งขดตัวคุดคู้เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนที่นอน ตามตัวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่ยังไม่แห้งสนิท มือซ้ายของเธอกำมีดทำครัวขนาดยาวที่เลอะคราบเลือด

              เด็กหญิงสอดส่ายสายตาไปมารอบๆห้อง ก่อนจะจับจ้องไปที่ประตูด้วยความหวาดผวา ด้านนอกมีเสียงดังสนั่นของระเบิด เสียงรถชนกันไปมาบนท้องถนน ปะปนกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาณ....

           
              "ช่วยด้วย ช่วยด้วย" เด็กหญิงเปล่งเสียงออกมาเบาๆจากลำคอด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
           
              วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆและทรมาณ สติของเด็กหญิงค่อยๆเลือนลางลงเรื่อยๆพร้อมกับพลังชีวิตที่ค่อยๆหดลงอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ค่อยๆกลืนกินเธอไปสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังโดยที่ไม่มีใครช่วยเธอได้

              เด็กหญิงพยายามรวบรวมสติเท่าที่มีนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อถามตัวเองว่ามันคืออะไร

             
               "ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นคือวันที่14กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ วันนั้นเราเตรียมดอกกุหลาบที่ซื้อมาจากปากคลองคลาด เพื่อจะเอาไปให้พี่เอ็มรุ่นพี่ที่เราแอบชอบ" เด็กหญิงยิ้มน้อยๆที่มุมปากเมื่อนึกถึงใบหน้ารุ่นพี่สุดหล่อที่ตนเคยแอบชอบ

                "แม่คะวันนี้หนูกลับเย็นหน่อยนะ พอดีมีนัดกับหน่อยไปติววิชาสังคมที่บ้าน" ฉันโกหกแม่ก่อนจะออกจากบ้าน เพราะวันนี้ฉันมีนัดกับพี่เอ็มหลังจากให้ดอกไม้พี่เขา


                "อย่าให้รู้นะว่าโกหก" แม่ของฉันพูดด้วยแววตาดุๆระหว่างชงกาแฟให้พ่อ


                ฉันนั่งเงียบทานอาหารไปโดยไม่ตอบอะไร


                "แค๊กๆๆ" เสียงไอของพ่อดังมาจากชั้น2ของบ้านระหว่างที่ฉันกำลังทานอาหารเช้า

               
               พ่อของฉันเป็นพนักงานบริษัทวัยกลางคน ท่านเดินลงมาพร้อมกับน้องชายที่โต๊ะอาหาร

                "ไหวไหมพ่อ วันนี้ขอหยุดคงไม่เป็นอะไรหรอกแม่ว่า" แม่พูดกับพ่อระหว่างส่งกาแฟพร้อมอาหารเช้า


              "ไม่ได้วันนี้มีประชุมสำคัญ แค๊ก แค๊ก " พ่อพูดไปไอไปตลอดเวลา หน้าของท่านซีดเผือกเหงื่อออกเต็มหน้า


              "ตัวเย็นเฉียบเลย ถ้าเป็นไข้ก็น่าจะตัวร้อน" แม่จับหน้าผากของพ่อพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

             
              "พ่อสบายดีแม่ไม่ต้องเป็นห่วง" พ่อยิ้มให้แม่เพื่อให้ท่านสบายใจ
     
              "อิ่มแล้วคะ หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ" ฉันรีบทานอาหารเช้าและหาจังหวะไปหยิบดอกกุหลาบที่ซ่อนเอาไว้ในตู้เย็น ตอนที่แม่กำลังคุยกับพ่อเรื่องอาการป่วยของท่าน

               "จะรีบไปไหนกัน รอน้องด้วย" แม่พูดเสียงดุใส่ฉัน

              "เร็วๆ" ฉันทำหน้าดุใส่เจ้าน้องชายตัวดีที่หันมามองทางฉันเมื่อตอนที่แม่เผลอ

              ฉันกับน้องชายออกจากบ้านไปพร้อมกัน เพราะโรงเรียนของเรานั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้าน สามารถเดินไปกลับได้โดยที่ไม่ต้องใช้รถสาธารณะ

              "ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ระหว่างทางไปโรงเรียน มันมีสิ่งผิดปกติอยู่ด้วย ฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นได้" เด็กหญิงพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง

             ป้าแม้นที่ขายปลาท่องโก๋ไอไปทอดปลาท่องโก๋ไปตลอดเวลา ลุงสมหมายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปไอไปอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง แล้วก็ยังมีพี่กิ่งที่ไอระหว่างซ้อนรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างออกไปหน้าปากซอย แทบจะทุกคนที่ฉันเห็นทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักต่างไอออกมา จะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร

              นั่นซินะที่เรียกว่าสิ่งผิดปกติ...

              เมื่อมาถึงโรงเรียนฉันกับน้องชายก็แยกกันไปที่ห้องเรียนของตน และที่นี่ก็ไม่ต่างจากตลาดหรือระหว่างทางที่ฉันผ่านมา ทุกคนกว่าครึ่งในโรงเรียนไออย่างรุนแรง และหลายคนในห้องเรียนก็ขาดเรียนในวันนี้เพราะอาการป่วย

              "นี่แกได้ข่าวรึยัง" หน่อยเพื่อนสาวใส่แว่นเดินมาหาฉันที่โต๊ะเรียน เธอดูปกติเหมือนกับฉัน

              "ข่าวอะไร" ฉันถามหน่อยแต่สายตาของฉันจับจ้องไปที่เพื่อนๆที่กำลังไอ จนเสียงไอของทุกคนดังกลบเสียงของหน่อยที่คุยกับฉันไปเลย

               "วันนี้พี่เอ็มไม่มาโรงเรียน ได้ข่าวว่าไม่สบายไอจนลุกไม่ขึ้นอยู่ที่บ้าน" หน่อยบอกข่าวสะเทือนใจกับฉัน

              "ทั้งที่พี่เขาเป็นถึงนักบาสโรงเรียนแต่กลับเป็นหวัด!!! ฉันรึอุส่าห์ซื้อดอกกุหลาบมาล่วงหน้าเพื่อมาให้พี่เขาแท้ๆเลยเชียว!!!" ชั้นบ่นออกมาดังๆด้วยความไม่พอใจ

               "นี่แก แกว่ามันผิดปกติอะไรไหม" หน่อยพูดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เมื่อเห็นเพื่อนๆในห้องแต่ล่ะคนไอตลอดเวลา หลายคนหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เพื่อนบางคนนอนพุบไออยู่ที่โต๊ะของตัวเอง

              "แบบนี้ยาแกไอคงขายดีแน่ๆ" ฉันพยายามเล่นมุกตลกแต่หน่อยดูจะไม่ขำเลย

               "คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง" ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ฉันเองก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมานิดๆเหมือนกันในตอนนั้น

                เวลา 8.15นาที

                เมื่อถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ทางอาจารย์ปกครองก็ประกาศทางเสียงตามสายว่า

                "วันนี้โรงเรียนขอหยุดการเรียนการสอนลงชั่วคราว เพราะนักเรียนส่วนมากเป็นโรคประหลาด ซึ่งตอนนี้ทางสาธารณะสุขทั่วประเทศกำลังหาที่มาที่ไปของโรคนี้อยู่ ใครที่ทราบว่าตนเองนั้นไออย่างรุนแรง ให้กลับบ้านไปหาผู้ปกครองและซื้อยาแก้ไอมาทาน และคอยฟังข่าวทางทีวีเป็นระยะๆ ส่วนคนที่ไม่เป็นอะไรก็ให้ระวังตัวโดยการสวมหน้ากากกันเอาไว้ ประกาศอีกครั้ง" เสียงตามสายประกาศซ้ำไปซ้ำมาจนนักเรียนทุกคนกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเอากระเป๋าเดินทางกลับบ้าน

                  "ถึงบ้านแล้วโทรหานะ" ฉันบอกกับหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป

                  ฉันยืนรอน้องชายที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน ระหว่างยืนรอฉันก็เห็นเพื่อนๆหลายคนมีผู้ปกครองขับรถมารับ หลายคนเดินแทบจะไม่ไหวแต่ก็ทนเดินไปไอไป และหลายคนก็ถูกส่งตัวขึ้นรถของอาจารย์ไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะเป็นลมหมดสติ

                 ตอนนั้นฉันเริ่มเป็นห่วงน้องชาย จึงเดินมาหาเขาที่ห้องบนอาคารเรียนของเด็กประถม

                 เมื่อมาถึงห้องเรียนของน้องชาย ฉันก็เห็นน้องชายกำลังนั่งคอตกหน้าซีดไอตลอดเวลาที่โต๊ะเรียนของตัวเอง

                  "พี่ผมคอแห้งจัง แค๊ก แค๊ก" น้องชายของฉันพูดไปไอไปเหมือนคนอื่นๆ เขาดูไม่มีเรี่ยวแรงจนฉันต้องผยุงเขาเดินกลับบ้้าน ทั้งที่เมื่อตอนเช้าน้องชายของฉันยังดูแข็งแรงอยู่เลย

                  ฉันพยุงน้องชายเดินกลับบ้าน ระหว่างทางเดินกลับที่ตลาดนั้นแทบจะไม่มีผู้คนเหลืออยู่เลย ร้านรวงที่เคยเปิดผู้คนที่เคยเดินตอนนี้หายไปจนหมด เพราะอาการป่วยที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นจึงทำให้ผู้คนต่างพากันทำงานไม่ไหว

                เราสองคนพี่น้องค่อยๆเดินจนมาถึงบ้านในที่สุด

                "แม่น้องไม่สบาย!!!!" ฉันตะโกนเรียกแม่ให้มาดูน้องชายที่ตอนนี้เขาแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว

                "แบบนี้ต้องไปโรงพยาบาล!!!!" แม่ที่เห็นอาการน้องชายที่ไม่ค่อยสู้ดีจึงไปโรงพยาบาลพร้อมกับฉันด้วยรถแท็กซี่

                แม้กระทั่งลุงคนขับแท็กซี่เองก็ไอแบบเดียวกับคนอื่นๆ นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น...????

                เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลเราก็พบคนป่วยมากมายที่มีอาการแบบเดียวกัน นอนรอการช่วยเหลือจนล้นออกมานอกโรงพยาบาล ทุกคนมีอาการหนักกันทั้งนั้น จนทางโรงพยาบาลต้องจัดเตียงและที่นอนเอาไว้นอกโรงพยาบาล และไม่ว่าเราจะไปที่โรงพยาบาลไหนก็มีคนป่วยด้วยโรคนี้เต็มไปหมด จนเรายอมแพ้และพาน้องชายกลับบ้านในที่สุด

                พอมาถึงที่บ้านฉันก็เห็นพ่อที่กลับมาจากที่ทำงานนอนไออยู่ในห้องรับแขกที่โซฟา สภาพของพ่อและน้องชายของฉันไออยู่ตลอดเวลา เนื้อตัวของพวกเขาซีดเผือกตาโหลขอบตาคล้ำและมีเหงื่อไหลออกมาเยอะมาก

                แม่คอยดูแลคนทั้งสองที่ห้องรับแขกด้วยความเป็นห่วง

               ฉันในตอนนั้นที่เหนื่อยกับการเดินทางเพื่อหาโรงพยาบาลกับแม่ ก็แอบขึ้นมาที่ห้องของตัวเองที่ชั้น2 เพื่อเปิดทีวีและโทรศัพท์หาหน่อยตามที่นัดกันเอาไว้

               "น้องชายฉันก็เป็น เมื่อเช้ายังปกติอยู่เลยแท้ๆ สงสัยจะเป็นโรคติดต่อ" ฉันนั่งตะไบเล็บเท้าไปคุยโทรศัพท์ไป ข่าวในทีวีก็รายงานเกี่ยวกับโรคประหลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ฉันเองไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่นัก เพราะฉันคิดว่าไม่นานเรื่องราวต่างๆก็คงจะจบลงและกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน

                "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด" จู่ๆที่ด้านล่างฉันก็ได้ยินเสียงร้องของแม่ดังขึ้นมา

                "แกแค่นี้ก่อนนะ สงสัยแม่ฉันจะเจอหนูในครัวอีกแน่ๆร้องออกมาเสียงดังแบบนี้ อืมเดี๋ยวโทรมาใหม่แค่นี้นะบาย" ฉันวางสายจากหน่อยก่อนจะเดินลงมาที่ชั้นล่าง

                "แม่คะเจอหนูอีกแล้วหรอ" เมื่อลงมาชั้นล่างฉันก็ถามหาแม่แต่ไม่พบท่านที่ห้องครัว ฉันจึงไปหาท่านที่ห้องรับแขกที่น้องชายกับพ่ออยู่

                ตอนนั้นฉันไม่ได้ยินเสียงไอของทั้งสองคนแล้ว จึงคิดว่าทั้งคู่คงจะหลับไปแล้วแน่ๆ

                แต่ฉันคิดผิด.....

                ตอนนั้นเองฉันเห็นน้ำสีแดงคล้ายเลือดที่หน้าประตูห้องรับแขกเมื่อออกมาจากในครัว

              "แม่คะมันเกิดอะไรขึ้น....!!!! กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!" ฉันร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด

               ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าคือภาพของพ่อและน้องชายของฉัน กำลังเอามือควักไส้พุงของแม่ที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นขึ้นมาทานอย่างหิวโหย สภาพของแม่นั้นดวงตาเบิกโผลงค้างด้วยความเจ็บปวดและตกใจ แขนและขายังคงกระตุกชักเบาๆเพราะยังไม่ตายสนิทขณะถูกควักเครื่องในออกมาด้วยมือและฟันของคนทั้งสอง

               สภาพน้องชายและพ่อของฉันนั่งทานเครื่องในของแม่เหมือนตายอดตายอยากมานานแสนนาน เนื้อตัวของคนทั้งสองเต็มไปด้วยเลือดของแม่ ทั้งคู่ไม่มีสติที่จะรับรู้ว่าตนเองนั้นได้ทำร้ายคนที่ตนรักไปแล้ว ทั้งคู่ทั้งควักทั้งกัดทั้งกินร่างของแม่อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งทั้งสองคนหันมาเห็นฉันที่ร้องออกมาเมื่อพบแม่

                "ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!!" เมื่อทั้งคู่เห็นฉันทั้งสองก็ร้องออกมาเสียงดังจนแสบแก้วหู ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งมาหาฉันด้วยใบหน้าที่หน้ากลัว

                "อย่านะ!!!!" ฉันวิ่งหนีเข้าไปในครัวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นพ่อที่สภาพเปื้อนไปด้วยเลือดและไม่มีตาดำ วิ่งตรงดิ่งมาหาฉันโดยที่ไม่มีสติรับรู้เลยว่าฉันคือลูกสาวของเขา

               ฉันที่วิ่งเข้าไปในครัวไม่มีทางสู้และตกใจสุดขีด จึงคว้ามีดอีโต้ที่วางอยู่บนเขียง จามหัวพ่อของฉันจนเป็นแผลลึกเข้าไปในกระโหลก

              พ่อของฉันล้มทั้งยืนเลือดพุ่งจากบาดแผลกระเซ็นมาเต็มตัวของฉันที่ยืนช๊อคทำอะไรไม่ถูก พ่อชักกระตุกไปมาบนพื้นก่อนจนนอนสิ้นสติจมกองเลือดแทบเท้าของฉัน

              วินาทีถัดมาเมื่่อได้สติฉันพยายามจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นที่นอกบ้าน เมื่อวิ่งมาถึงประตูน้องชายที่บ้าคลั่งแบบพ่อก็กระโดดมาเกาะที่ด้านหลังของฉัน และกัดฉันที่ไหล่ซ้ายเป็นแผลแหวะ ก่อนที่ฉันจะใช้แรงที่มีกระโดดเอาตัวกระแทกน้องชายที่เกาะอยู่กับกำแพง จนน้องชายหล่นลงมาบนพื้นและถูกฉันเอามีดแทงที่ดวงตาขวาทะลุไปถึงกระโหลกด้านหลัง น้องชายนอนชักกระตุกเมื่อฉันดึงมีดออกมาจากหัวของเขา

              ฉันหนีตายออกมาที่นอกบ้านได้สำเร็จ และพยายามขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก แต่สิ่งที่ฉันเห็นข้างนอกกลับกลายเป็นนรกไม่แพ้ข้างในบ้านเลยแม้แต่น้อย

             ที่บ้านฝั่งตรงข้ามฉันเห็นพี่กริชกำลังกินหมาที่ตนเลี้ยงเอาไว้อย่างหิวโหย ขณะที่บนถนนฉันเห็นรถที่กำลังไฟไหม้มีศพถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในนั้น และมีศพคนตายนอนร่างขาดสองท่อนอยู่กลางถนนเพราะถูกรถชน

            ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาที่บ้านข้างๆ และมีเสียงระเบิดดังเป็นช่วงๆไกลออกไปที่ถนน

            ตอนนั้นเองฉันเห็นไก่เพื่อนรุ่นน้องวิ่งอยู่บนถนนผ่านหน้าฉันไปในสภาพเปื้อนเลือดไปทั้งตัว เขามองมาทางฉันด้วยสีหน้าตกใจและหวาดกลัวไม่แพ้ฉัน ก่อนที่เขาจะถูกใครคนนึงที่ไม่รู้จักวิ่งออกมาจากบ้านหลังข้างๆมาคว้าตัวเอาไว้ และกัดที่คอของไก่จนเลือดพุ่งกระฉูด ไก่พยายามดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะถูกใครอีกหลายคนที่ฉันทั้งรู้จักและไม่รู้จักมารุมกัดกินร่างเขาอย่างหิวโหย

            "!!!!!!!" ฉันที่ตกใจสุดขีดทำอะไรไม่ถูกนอกจากวิ่งกลับเข้ามาในบ้านและขึ้นไปบนห้องล๊อคประตูปิดผ่านม่าน เอาโต๊ะและตู้มาขวางประตูเพื่อกันสิ่งที่อยู่นอกห้องมาทำร้าย

            ฉันพยายามใช้โทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยแม้แต่คนเดียว

            ไม่นานจากนั้นไฟฟ้าก็ดับลงและทุกอย่างก็อยู่ในความมืด แต่เสียงโหยหวงเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกับเสียงระเบิดยังคงดังอยู่ไม่ขาดสาย

             "ใครก็ได้ช่วยด้วย" ฉันร้องขอความช่วยเหลือเมื่อตอนที่ยังมีแรงและสติ แต่ก็ไม่ใครมาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว

             นั่นคือจุดเริ่มและจุดจบเท่าที่ฉันคิดออก แม้แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่ซิมันเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนบนโลกกันแน่

             สติของฉันเริ่มเลือนลางลงเรื่อยๆ ฉันเริ่มไอออกมาเบาๆเป็นระยะ ภาพตรงหน้าเริ่มหมุนไปมาจนฉันเวียนหัว ไม่นานฉันก็คงจะต้องตายหรือไม่ก็เป็นแบบเดียวกับคนพวกนั้น

             "ใครก็ได้ช่วยด้วย ฉันอยู่ในนี้ ฉันอยู่ที่นี่ ที่ห้องปิดตายในนี้....ช่วยด้วย..."

             นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอเอ่ยออกมา ก่อนสติสุดท้ายของเธอจะดับไปในที่สุด....พร้อมกับคำถามที่ค้างคาใจของเธอว่า

               "มันเกิดอะไรขึ้น...?"

                                                       จบ


1 ความคิดเห็น: